4 วัน 3 คืน แอ่วเหนือม่วนใจ…ลำพูน-ลำปาง-เชียงใหม่

  • อ่าน (10,303)
  • ByWebmaster
  • 18:30:31 | 5 เม.ย. 2564

4 วัน 3 คืน แอ่วเหนือม่วนใจ…ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่

 

             ทริป 4 วัน 3 คืนในครั้งนี้ Palanla จะพาทุกคนท่องเที่ยวไปยัง 3 จังหวัดทางภาคเหนือ นั่นก็คือ ลำพูน ลำปาง และเชียงใหม่ โดยเราเลือกที่จะนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพมาลงที่เชียงใหม่แล้วเช่ารถจากสนามบินขับไปลำพูน ลัดเลาะไปลำปาง ก่อนจะวนกลับมาเที่ยวเชียงใหม่ คืนรถ แล้วบินกลับกรุงเทพฯ หากพร้อมแล้วขอเชิญออกเดินทางไปชมความสวยงามน่าอัศจรรย์ทางธรรมชาติ เที่ยววัดสวยๆ สร้างความร่มเย็นในจิตใจ สัมผัสกับวัฒนธรรมเก่าแก่น่าหลงใหล และเพลิดเพลินกับสีสันของทั้ง 3 จังหวัดนี้ไปพร้อมๆ กัน

 
แผนที่ประเทศไทย แสดงตำแหน่งของจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน และจังหวัดลำปาง

 
แผนที่แสดงตำแหน่งของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้ง 4 วันในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง 
(โดย วันที่ 1 เส้นสีแดง วันที่ 2 เส้นสีเหลือง วันที่ 3 เส้นสีน้ำเงิน วันที่ 4 เส้นสีเขียว)

 --- วันที่ 1 ---

(กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ – ลำพูน – ลำปาง : วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร - อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี - พระธาตุลำปางหลวง - วัดพระธาตุดอยพระฌาน - กาดกองต้า(ตลาดนัดเฉพาะเสาร์ อาทิตย์) – สะพานรัษฎาภิเศก)

 

             ทริปนี้เราเลือกนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพรอบเวลาประมาณ 10.00 น. มาลงที่เชียงใหม่ แล้วเช่ารถจากสนามบินขับไปลำพูน (จังหวัดลำพูนไม่มีสนามบิน) ก่อนจะลัดเลาะไปสู่ลำปางซึ่งเป็นที่พักสำหรับวันแรกนี้ด้วย โดยเป้าหมายแรกของเราอยู่ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งจากสนามบินเชียงใหม่มาลำพูนก็มีระยะทางเพียงราวๆ 30 กิโลเมตร


วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร

 

             วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร (Phra That Hari Phun Chai) เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวลำพูนที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี เป็นเจดีย์แบบล้านนาไทยแท้ๆ ที่มีความงดงาม สมบูรณ์ และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีระกาด้วย วัดแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาที่ใหญ่แห่งหนึ่งในอาณาจักรล้านนาไทย สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าอาทิตยราชแห่งราชวงศ์รามัญ ผู้ทรงมีความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา ภายในวัดเต็มไปด้วยโบราณสถานล้ำค่ามากมายฝีมือช่างโบราณสมัยศรีวิชัย รวมถึงองค์พระธาตุ ซุ้มประตู วิหารหลวง หอระฆัง พระเจ้าทันใจ และยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์ด้วย

เวลาทำการเปิด – ปิด :  เปิดทุกวัน เวลา 6.00-18.00 น.

พิกัด GPS : 18°34'37.5"N 99°00'29.4"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=266


อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี

 

             จากพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เราก็ไปต่อกันที่อนุสาวรีย์พระนางจามเทวีซึ่งอยู่ห่างกันเพียง 1 กิโลเมตรนิดๆ เท่านั้น เรียกว่าเมื่อมาเที่ยววัดพระธาตุหริภุญชัยแล้วก็ควรเลยมาสักการะอนุสาวรีย์พระนางจามเทวีผู้สร้างเมืองลำพูนกันสักนิดเพื่อความเป็นสิริมงคล

             อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี สร้างเมื่อ พ.ศ.2525 เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระนางจามเทวีซึ่งเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย พระนางจามเทวีทรงเป็นปราชญ์ที่มีคุณธรรม และเป็นนักรบที่กล้าหาญ ทรงเป็นผู้นำพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมมาเผยแผ่ในดินแดนแถบนี้จนรุ่งเรืองสืบมาจนถึงปัจจุบัน บริเวณรอบๆ อนุสาวรีย์เป็นสวนสาธารณะที่ประชาชนนิยมมาพักผ่อน และในละแวกเดียวกันมีร้านจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียน พวงมาลัย สำหรับนำไปสักการะอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 18°34'28.9"N 99°00'15.3"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=267


พระธาตุลำปางหลวง

 

             จากลำพูน เราขับรถไล่ลงมาเรื่อยๆ ตามทางหลวงหมายเลข 11 สู่เมืองรถม้าและชามตราไก่ นั่นก็คือจังหวัดลำปาง ซึ่งอยู่ห่างกันราวๆ 71 กิโลเมตรได้ แน่นอนว่าหนึ่งในสถานที่ที่จะพลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเที่ยวจังหวัดลำปางก็คือพระธาตุลำปางหลวง   

             วัดพระธาตุลำปางหลวง (Pra That Lampang Luang) เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปางมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีหรือราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20  มีลักษณะเด่นคือเป็นวัดไม้ที่มีความยิ่งใหญ่ สง่างาม  และยังเป็นพระธาตุประจำปีฉลู วัดพระธาตุลำปางหลวงประกอบด้วยวิหารสามหลัง ได้แก่ วิหารหลวง วิหารน้ำแต้ม และวิหารพระพุทธ  ซึ่งนอกจากสถาปัตยกรรมภายในวัดจะสร้างด้วยความงดงามประณีตแล้ว วัดแห่งนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งรวมงานศิลปกรรมล้านนาที่สมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยที่องค์ประกอบทางศิลปะหลายๆ อย่างไม่สามารถหาชมจากที่อื่นได้อีกแล้ว

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.30 - 17.00 น.

พิกัด GPS : 18°13'02.1"N 99°23'20.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดพระธาตุลำปางหลวง ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=264


วัดพระธาตุดอยพระฌาน

 

             หลังจากที่ชื่นชมความงามของพระธาตุลำปางหลวงและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองลำปางกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็ออกเดินทางไปกันต่อที่วัดพระธาตุดอยพระฌานที่อำเภอแม่ทะ อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางออกไปราว 20 กิโลเมตร ขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมงดงามอีกแห่งที่สามารถชมวิวสวยๆ ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

             วัดพระธาตุดอยพระฌาน (Wat Phra That Doi Phra Chan) ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนาดั้งเดิมที่มีความอ่อนช้อยงดงาม ภายในวัดมีองค์พระธาตุเก่าแก่สีขาวยอดฉัตรสีทองอายุกว่า 100 ปี วัดแห่งนี้เป็นทั้งศาสนสถานและจุดชมวิวทะเลหมอกแห่งจังหวัดลำปาง แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นหนึ่งในที่เที่ยวอันซีนที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงอำเภอแม่ทะ และยังเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของอำเภอแม่ทะได้รอบทิศทาง ยามเช้าๆ ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวสามารถเห็นทะเลหมอกได้ด้วย

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 6.00 – 17.00 น.

พิกัด GPS : 18°06'39.7"N 99°28'15.8"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดพระธาตุดอยพระฌาน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=369


กาดกองต้า

 

             ดื่มด่ำกับวิวสวยๆ ลมเย็นๆ และบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่วัดพระธาตุดอยพระฌานแล้ว เราก็กลับกันเข้ามาที่ตัวเมืองลำปางซึ่งจะเป็นที่พักของเราในคืนนี้ เราตั้งใจกันไว้ว่าบ่ายแก่ๆ จะไปเดินเล่นกาดกองต้า ถนนคนเดินที่มีบ้านเรือนเก่าๆ สวยงามให้ชม ทว่าน่าเสียดายที่วันที่เรามาตรงกับวันศุกร์ ไม่ใช่วันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่มีตลาดนัด พวกเราจึงได้เพียงเดินชมอาคารบ้านเรือนในบรรยากาศที่สงบๆ ไม่คึกคักเท่าใดนัก

             กาดกองต้า (Kad Kong Ta) กาดกองต้า หรือ ตลาดจีน เป็นตลาดโบราณของเมืองลำปาง ตั้งอยู่ขนาบแม่น้ำวัง เริ่มก่อตั้งสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2420 ในอดีตมีความสำคัญคือเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าทางภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางการค้าไม้ ตลาดแห่งนี้เป็นจุดที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงเมื่อมาเที่ยวจำหวัดลำปาง ซึ่งนอกจากจะเป็นถนนคนเดิน ขายสินค้านานาชนิดและอาหารอร่อยๆ ในวันเสาร์ อาทิตย์แล้ว ถนนทั้งสายยังขนาบข้างไปด้วยสถาปัตยกรรมล้านนา-พม่า-จีน ที่เต็มไปด้วยประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และเปิดไฟประดับแสนโรแมนติกในยามค่ำคืน

เวลาทำการเปิด – ปิด : สามารถเดินชมตึกสถาปัตยกรรมบ้านเรือนเก่าได้ทุกวัน ส่วนถนนคนเดินเปิดทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 17.00 - 22.00 น.

พิกัด GPS : 18°17'29.2"N 99°29'54.9"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กาดกองต้า ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=362


สะพานรัษฎาภิเศก
(สะพานขาว)

 

             ห่างจากกาดกองต้าแค่เพียง 400 เมตรก็จะเป็นสะพานรัษฎาภิเษก สะพานสีขาวทรงสวยคลาสสิกคู่เมืองลำปางที่หลายๆ คนคุ้นตา ที่เริ่มเปิดไฟประดับเมื่อแสงอาทิตย์ได้ลาลับ แม้จะไม่ใช่สะพานที่ใหญ่โต อลังการงานสร้างมากแต่ก็สวยงาม มีเสน่ห์ และประวัติน่าสนใจ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การมาเดินเล่นถ่ายรูป ผ่อนคลายในช่วงเวลาเย็นๆ เช่นนี้อยู่เหมือนกัน

             สะพานรัษฎาภิเศก (Ratsadaphisek Bridge) หรือ “สะพานขาว” เป็นสะพานที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยเส้นโค้งทรงคันธนูรวม 4 โค้งทอดข้ามผ่านแม่น้ำวัง เป็นเส้นทางสัญจรผ่านไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำในเขตใจกลางเมืองลำปาง สะพานรัษฎาเป็นสะพานที่รอดพ้นจากการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มาได้ด้วยการทาสีพรางตา ปัจจุบันสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำร่วมรุ่นบนเส้นทางรถไฟสายเหนือล้วนผุพังลงหมดแล้ว ทว่าสะพานรัษฎาภิเศกยังคงอยู่และถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของลำปางที่ใครก็จะต้องไม่พลาดมาถ่ายรูป

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 18°17'35.6"N 99°30'02.8"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สะพานรัษฎาภิเศก ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=373


--- วันที่ 2 ---

(ลำปาง – เชียงใหม่ : พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี - เขื่อนกิ่วลม - วัดพระพุทธบาทสุทธาวาส - บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน - น้ำตกแจ้ซ้อน - แม่กำปอง)

 


พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี

 

             เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดลำปาง เชื่อเหลือเกินว่าหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงจะต้องมี “ชามตราไก่” หรือเซรามิค เครื่องปั้นดินเผาอยู่ด้วย ซึ่งสถานที่ที่จะพาผู้มาเยือนย้อนรอยกลับไปสู่ตำนานชามไก่นครลำปางอย่างเจาะลึกและได้เรียนรู้ถึงขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การขึ้นรูปจนออกจากเตาเผาก่อนจะมาเป็นเซรามิคหนึ่งใบก็คือพิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี

             พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี (Dhanabadee Ceramic Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติของบริษัทในเครือธนบดี ต้นกำเนิดชามไก่ ต้นกำเนิดเซรามิคของเมืองลำปาง และยังมีการสาธิตการผลิตชามไก่แบบโบราณ รวมถึงกระบวนการผลิตเซรามิคสมัยใหม่ซึ่งเป็นเทคนิคที่สร้างชื่อเสียงให้ธนบดีเป็นที่รู้จักแก่นานาประเทศสาธิตให้นักท่องเที่ยวได้ชมอย่างใกล้ชิด เรียกว่ามาเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วได้รับทั้งความรู้และความเพลิดเพลินกลับไปแน่นอน

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.00 – 17.00 น โดยมีบริการรอบนำชม ดังนี้

                               รอบเช้า : 09.00 - 10.00 น./ 10.00 - 11.00 น./ 11.00 - 12.00 น.

                               รอบบ่าย : 13.00 - 14.00 น./ 14.00 - 15.00 น./ 15.00 - 16.00 น./ 16.00 - 17.00 น.

พิกัด GPS : 18°16'49.3"N 99°30'45.3"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=367


เขื่อนกิ่วลม

 

             จากพิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี ใจกลางเมืองลำปาง เราขับรถขึ้นมาทางเหนือกันประมาณ 37 กิโลเมตร หรือครึ่งชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงเขื่อนกิ่วลม สถานที่ที่เป็นทั้งอ่างเก็บน้ำและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนลำปาง

             เขื่อนกิ่วลม (Kiew Lom Dam) เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ที่มีบรรยากาศสวยงาม แวดล้อมด้วยภูเขาและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ อากาศสดชื่นบริสุทธิ์และเย็นสบายตลอดปี เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การหลีกหนีความวุ่นวาย ไปใช้เวลาช้าๆ สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดกับการล่องแพชมทัศนียภาพสวยงามของทะเลสาบเหนือเขื่อนและชมวิวธรรมชาติเขียวขจี นอกจากนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างคืนที่เขื่อนกิ่วลมก็สามารถทำได้

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น.

พิกัด GPS : 18°31'26.1"N 99°37'27.0"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เขื่อนกิ่วลม ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=363


วัดพระพุทธบาทสุทธาวาส

 

             ดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ ของเขื่อนกิ่วลมเสร็จ เราก็ขับรถไล่ขึ้นมาทางเหนืออีกเรื่อยประมาณ 41 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบๆ 50 นาที เพื่อมายังวัดพระพุทธบาทสุทธาวาสที่อำเภอแจ้ห่ม วัดที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอันซีนของจังหวัดลำปางที่มีทัศนียภาพสวย แปลกตา และสร้างความตื่นตะลึงให้กับพวกเราทันทีที่ได้เห็น

             วัดพระพุทธบาทสุทธาวาส (Wat Chalermprakiat) หรือชื่อเดิมคือ วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดพระพุทธบาทปู่ผาแดง อีกหนึ่งในอันซีนของจังหวัดลำปาง โดดเด่นด้วยเจดีย์น้อยใหญ่กระจายไปตามแนวสันเขาหินปูนฝั่งด้านตะวันตกของอำเภอแจ้ห่ม เป็นทัศนียภาพที่สวยงามดูแปลกตา ซึ่งนอกจากความสวยงามขององค์เจดีย์น้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่บนยอดหินแล้ว จากบนวัดนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของอำเภอแจ้ห่มได้อย่างกว้างไกลพร้อมมีลมเย็นๆ โชยอยู่ตลอดเวลา

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 7.00 – 17.00 น.โดยประมาณ

พิกัด GPS : 18°44'44.2"N 99°31'56.0"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดพระพุทธบาทสุทธาวาส ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=370


บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน

 

             ถัดจากวัดพระพุทธบาทสุทธาวาส เราก็มาที่บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนที่อำเภอเมืองปาน ใช้เวลาขับรถเพียงราวๆ 37 นาที กับระยะทาง 22 กิโลเมตรก็มาถึง อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ของจังหวัดลำปางที่ใครก็ต้องมา

             บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน (Chaeson Hot Spring) เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดลำปางที่อยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน น้ำพุร้อนแจ้ซ้อนครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ มีบ่อน้ำพุที่ผุดขึ้นมาเป็นบ่อเล็กๆ 9 บ่อ โดยทางอุทยานฯ ได้ปรับแต่งภูมิทัศน์รอบๆ บ่อน้ำร้อนให้สวยงามและมีทางเดินปลอดภัยลัดเลาะไปตามบ่อน้ำร้อนเหล่านั้น กิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวคือการ “ต้มไข่” ในบ่อน้ำพุที่อุณหภูมิสูงถึงกว่า 80 องศาเซลเซียส และการลงไปแช่น้ำแร่ร้อนเพื่อบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย

เวลาทำการเปิด – ปิด : อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 18°50'11.6"N 99°28'18.4"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=366


น้ำตกแจ้ซ้อน

 

             นอกจากบ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนแล้ว ภายในอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งจุดใกล้ๆ กัน นั่นคือน้ำตกแจ้ซ้อน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง 450 เมตร มีทางเดินไปได้สะดวกจากบ่อน้ำพุร้อน เราจึงไม่พลาดที่จะต้องเดินไปชมเมื่อไหนๆ ก็มาแล้ว

             น้ำตกแจ้ซ้อน (Chaeson Waterfall) เกิดจากน้ำจากลำห้วยแม่มอญ ไหลผ่านภูมิประเทศที่มีระดับความสูงแตกต่างกันกลายเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามจำนวน 6 ชั้น ท่ามกลางผืนป่าเบญจพรรณ น้ำตกแจ้ซ้อนมีน้ำไหลตลอดปี มีแอ่งน้ำรองรับตลอดสาย รวมระยะทางประมาณ 180 เมตร บริเวณชั้นล่างไม่ลึกมาก เด็กๆ สามารถปีนหินได้สนุกสนาน และบริเวณรอบๆ น้ำตกก็มีโต๊ะให้นั่ง นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติน้ำตกแจ้ซ้อน-น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร

เวลาทำการเปิด – ปิด : อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 18°50'28.3"N 99°28'09.2"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ น้ำตกแจ้ซ้อน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=364


หมู่บ้านแม่กำปอง

             เราออกจากอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนกันก็จวนจะค่ำเต็มที ปลายทางแห่งสุดท้ายของเราในวันนี้ปักหมุดอยู่ที่หมู่บ้านแม่กำปอง อำเภอแม่ออน เชียงใหม่ จากแจ้ซ้อน ลำปาง ฟังๆ ดูก็ไม่ได้เป็นระยะทางที่ไกลนักกับตัวเลข 22 กิโลเมตร ทว่าเส้นทางการเดินทางไปยังแม่กำปองนั้นถนนค่อนข้างคดเคี้ยว บวกกับการเดินทางในตอนมืดค่ำที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ จึงทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมาจึงแนะนำว่าควรกะเวลาเดินให้มาถึงก่อนมืดจะดีที่สุด

             หมู่บ้านแม่กำปอง (Mae Kampong Village) หมู่บ้านเล็กๆ ที่แวดล้อมด้วยขุนเขา ธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งน้ำตก ลำธาร บวกกับบรรยากาศเนิบช้าและมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีชื่อเสียงในเรื่องของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบ Homestay หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่ออน 20 กิโลเมตร และห่างจากตัวจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่หลายๆ คนฝันจะมาเยือนเมื่อมาเที่ยวเชียงใหม่ การมาท่องเที่ยวที่หมู่บ้านแม่กำปองสามารถมาได้ทั้งแบบวันเดียว หรือมาพักที่โฮมสเตย์ในหมู่บ้านสักคืนก็ได้บรรยากาศดีไม่น้อย

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 18°51'54.8"N 99°21'03.5"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หมู่บ้านแม่กำปอง ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=379


--- วันที่ 3 ---

(เชียงใหม่ : The Giant Chiangmai - น้ำพุร้อนสันกำแพง -  ม่อนแจ่ม - อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า - I Love Flower Farm - วัดอินทขีล -  ถนนคนเดินท่าแพ)

 


เดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่

 

             เช้าวันที่ 3 ของทริปนี้หลังจากที่เดินเล่นชมบรรยากาศส่วนต่างๆ ในหมู่บ้านแม่กำปองอย่างทั่วถึงแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปกันต่อที่ เดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่ ร้านกาแฟบนต้นไม้ใหญ่ชื่อดังที่อยู่ห่างจากแม่กำปองราวๆ 11 กิโลเมตร

             เดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่ (The Giant Chiangmai) ร้านกาแฟบนต้นไม้ใหญ่บรรยากาศร่มรื่นที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า เปิดให้บริการเป็นทั้งร้านกาแฟและที่พักจำนวน 5 ห้อง ร้านกาแฟแห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายและประชาสัมพันธ์กาแฟของหมู่บ้าน รวมถึงช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติและสร้างจิตสำนึกในเรื่องของการดูแลรักษาธรรมชาติด้วย ซึ่งการชงเครื่องดื่มชนิดเย็นของที่นี่จะชงใส่เหยือกไว้เนื่องจากบนเขาไฟดับเป็นประจำทำให้เครื่องชงกาแฟไม่สามารถใช้งานได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นการชงทิ้งไว้นาน และแม้จะอยู่ในป่าแต่กาแฟของ เดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่ นั้นก็ใช้วัตถุดิบและส่วนผสมคุณภาพเทียบเท่าร้านดังๆ ในเมืองเลยทีเดียว

เวลาเปิด-ปิด : ร้านกาแฟเปิดทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์ ตั้งแต่ 8.30 – 17.30 น. หยุดทุกวันจันทร์

พิกัด GPS : 18°53'33.0"N 99°21'06.0"E 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่ ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=376


น้ำพุร้อนสันกำแพง

 

             จากเดอะ ไจแอนท์ เชียงใหม่ เป้าหมายถัดไปของเราวันนี้อยู่ที่น้ำพุร้อนสันกำแพง ขับรถ 25 กิโลเมตร กับระยะเวลาประมาณ 44 นาที พวกเราก็มาอยู่ที่อำเภอสันกำแพง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ หนึ่งในสถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวเชียงใหม่

             น้ำพุร้อนสันกำแพง อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 45 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงคู่กับเมืองเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน ด้วยความมหัศจรรย์ของน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิมากกว่า 105 องศา และพุ่งขึ้นมาเหนือพื้นดินกว่า 15 เมตร และยังรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบและอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาพักผ่อน แช่เท้า อาบน้ำแร่ รวมถึงกิจกรรมยอดฮิตอย่างการต้มไข่ออนเซ็นด้วย  

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 8.00 – 21.00 น.

พิกัด GPS : 18°48'58.9"N 99°13'39.7"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ น้ำพุร้อนสันกำแพง ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=162


ม่อนแจ่ม

 

             ออกจากบ่อน้ำพุร้อนสันกำแพง เราก็ขับรถกันเรื่อยมาทางทิศตะวันตกอีกราวๆ 72 กิโลเมตร เพื่อมายังอำเภอแม่ริมซึ่งเป็นที่ตั้งของม่อนแจ่ม

             ดอยม่อนแจ่ม (Mon Jam) หรือที่ชาวบ้านกันเรียกว่า “กิ่วเสือ” ตั้งอยู่บนสันเขาบริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในดอยซึ่งเป็นที่เที่ยวยอดนิยมของจังหวัดเชียงใหม่ที่เดินทางไม่ลำบากมาก ทว่ามีวิวที่สวยงาม แวดล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ แปลงผักละลานตา และอากาศที่เย็นสบาย ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นป่ารกร้างมานานและมีการถางไร่ปลูกฝิ่น ต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่ในโครงการหลวงและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเทือกเขาสูงไล่เรียงกันสุดสายตา โดยเฉพาะในยามเช้าที่มีหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ๆ เป็นภาพที่งดงามมาก

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 18°56'08.8"N 98°49'20.7"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ม่อนแจ่ม ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=235


อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

 

             ถัดจากม่อนแจ่ม พวกเราก็มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ โดยถือโอกาสแวะเที่ยว เสพบรรยากาศธรรมชาติสวยๆ ที่อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าซึ่งเป็นทางผ่านอยู่แล้วด้วยเลยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว   

             อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า (Huay Tueng Thao Reservoir) เดิมทีเป็นโครงการในพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อการเกษตรในบริเวณดังกล่าวก่อนที่จะได้รับการพัฒนาให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ จนที่นี่กลายเป็นแลนด์มาร์กที่ชาวเชียงใหม่ชื่นชอบ ถึงขนาดมีคำเรียกกันว่า “ทะเล (น้ำจืด) แห่งเมืองเชียงใหม่” ด้วยธรรมชาติที่สวยงามและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แพริมน้ำ ร้านอาหารอร่อยๆ หลายสิบร้าน รวมถึงหุ่นฟางรูปสัตว์ต่างๆ ขนาดมหึมาท่ามกลางท้องทุ่งสีเขียวที่เป็นขวัญใจสายถ่ายภาพจะต้องไม่พลาด

 เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 9.00 -17.00 น.

พิกัด GPS : 18°52'03.8"N 98°56'12.6"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=93


ไอ เลิฟ ฟลาวเวอร์ ฟาร์ม

 

             ไม่ไกลกันมากจากห้วยตึงเฒ่า ประมาณ 11 กิโลเมตรคือ ไอ เลิฟ ฟลาวเวอร์ ฟาร์ม สวนดอกไม้ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงราวๆ ปลายเดือนมีนาคม ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่เรามาเที่ยวในจังหวะนี้ที่ดอกไม้สวยๆ พร้อมใจกันเบ่งเบนให้ได้ชื่นชม

             ไอ เลิฟ ฟลาวเวอร์ ฟาร์ม (I Love Flower Farm) เป็นสวนดอกไม้ขนาด 8 ไร่ ที่อำเภอแม่ริม เต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิดและมุมถ่ายภาพสวยๆ ที่ทางฟาร์มได้จัดไว้ให้ถ่ายรูปกันอย่างจุใจ สวนดอกไม้แห่งนี้มีทั้งดอกคัตเตอร์ (Cutter) มาร์กาเร็ต (Margaret) ดอกซีโลเซีย (Celosia) หรือดอกสร้อยไก่ เบญจมาศ และสเปรย์ (Spray Carnation) ทว่าโดดเด่นที่สุดด้วยทุ่งมาร์กาเร็ตสีม่วง และดอกสร้อยไก่โดยเฉพาะสีแดงซึ่งเป็นพันธุ์เดียวกันกับที่ปลูกที่ฮอกไกโดประเทศญี่ปุ่น ทำให้เกิดภาพบรรยากาศสุดอันซีนที่ใครๆ ก็อยากไปยืนถ่ายรูปสวยๆ อยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้เหล่านี้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบริการห้องเปลี่ยนชุด และช่างถ่ายภาพไว้ให้บริการเก็บภาพประทับใจสวยๆ แบบรับประกันฝีมือได้อย่างแน่นอน

เวลาทำการเปิด – ปิด : ไอ เลิฟ ฟลาวเวอร์ ฟาร์ม เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ช่วงประมาณปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงราวๆ ปลายเดือนมีนาคม ทุกวัน เวลา 08.00 - 17.00 น.

พิกัด GPS : 18°53'52.0"N 98°58'50.6"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ไอ เลิฟ ฟลาวเวอร์ ฟาร์ม ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=375


วัดอินทขีล

 

             รื่นรมย์กับบรรยากาศสวยๆ ของสวนดอกไม้กันอย่างเต็มอิ่มแล้ว ล้อของพวกเราก็หมุนมุ่งสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ จากไอ เลิฟ ฟลาวเวอร์ ฟาร์มมาตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เวลาเพียงประมาณ 35 นาทีด้วยระยะทาง 17 กิโลเมตรเท่านั้น โดยหลังจากเช็คอินเข้าที่พักเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็ไม่รอช้า เดินทางไปเที่ยววัดอินทขีล หนึ่งในวัดสำคัญและเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

             วัดอินทขีล (Wat Inthakhin) หรือ วัดสะดือเมือง หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดอินทขีลสะดือเมือง เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่สำคัญ โดยวัดแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของเสาอินทขีลหรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ ที่จะประดิษฐานอยู่ที่ใจกลางเมือง หรือที่เรียกว่า สะดือเมือง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งในสมัยโบราณ รวมถึงเป็นแหล่งรวมศรัทธาที่สำคัญอีกแห่งของชาวเมืองเชียงใหม่ และเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อขาว พระศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่อายุกว่า 700 ปี

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 8.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 18°47'23.1"N 98°59'13.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดอินทขีล ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=109


ถนนคนเดินท่าแพ

 

             หลังจากที่เราผิดหวังกับการจะได้เดินเล่นถนนคนเดินกาดกองต้าที่ลำปางกันมาแล้วเพราะไม่ตรงกับวันที่มีตลาดนัด มาถึงเชียงใหม่วันนี้เรียกว่าไม่ผิดหวังเพราะตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่มีถนนคนเดินท่าแพพอดี จากวัดอินทขีลเดินมาเพียง 600 เมตรก็เป็นถนนคนเดินท่าแพ ถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศก็ว่าได้

             ถนนคนเดินท่าแพ หรือ ถนนคนเดินวันอาทิตย์ (Sunday Walking Street) เป็นตลาดนัดที่จะจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์ โดยจะมีการปิดการจราจรในบริเวณ จัดงานและตั้งร้านค้าเรียงกัน ให้นักท่องเที่ยวได้แวะเลือกชมช็อปปิ้งสินค้าที่ถูกใจกันอย่างคึกคัก มีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรมทำมือพื้นบ้าน งานศิลปะ และแน่นอนว่าอาหารและขนมขึ้นชื่อของเมืองเชียงใหม่ก็สามารถหาซื้อจับจ่ายกันได้จากถนนเส้นนี้

เวลาทำการเปิด – ปิด : มีทุกวันอาทิตย์ เวลา 17.00 – 22.00 น.

พิกัด GPS : 18°47'16.5"N 98°59'28.8"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ถนนคนเดินท่าแพ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=104


--- วันที่ 4 ---

(เชียงใหม่ – กรุงเทพฯ : วัดพระธาตุดอยสุเทพ - วัดพระสิงห์ - วัดเจดีย์หลวง - ตลาดวโรรส (กาดหลวง)

 


วัดพระธาตุดอยสุเทพ

 

             เช้าวันสุดท้ายของทริปนี้ก่อนที่เราจะต้องคืนรถเช่าที่สนามบินและเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ ก็ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกสามสี่แห่งที่เราตั้งใจจะแวะไปเยี่ยมชมเป็นการปิดท้าย สถานที่แรกก็คือวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นที่ที่เรียกว่าจะพลาดไปไม่ได้เลยเมื่อมาเชียงใหม่

             วัดพระธาตุดอยสุเทพ ( Wat Phra That Doi Suthep) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นวัดสำคัญ และถือเป็นหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ โดยวัดพระธาตุดอยสุเทพถูกตั้งชื่อตามพระธาตุที่ตั้งอยู่ด้านบนของดอยสุเทพ ซึ่งถือเป็นองค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเชียงใหม่ให้ความเคารพนับถือสืบเนื่องมาช้านาน ทั้งยังถือเป็นพระธาตุประจำตัวของผู้ที่เกิดในปีนักษัตรมะแม (ปีแพะ) อีกด้วย และด้วยความศรัทธานี้เองที่ทำให้วัดพระธาตุดอยสุเทพได้รับการทำนุบำรุงสืบต่อเนื่องมา จนภายในวัดเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่สวยงามอันยากจะหาชื่นชมได้จากที่อื่น รวมถึงบรรยากาศที่สวยงามและสามารถชมวิวเมืองเชียงใหม่ได้อย่างกว้างไกลก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่นี่

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06.00 – 20.00 น.

พิกัด GPS : 18°48'18.0"N 98°55'17.8"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดพระธาตุดอยสุเทพ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=105


วัดพระสิงห์

 

             ถัดจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ ขับรถมาทางทิศตะวันออกของตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 16.4 กิโลเมตรก็นำเรามาสู่วัดพระสิงห์ หนึ่งในวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่ที่จะต้องไม่พลาดแวะมาเยี่ยมชมและกราบสักการะ

             วัดพระสิงห์ (Wat Phra Singh) หรือชื่อเต็มว่า วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเชียงใหม่ ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานของพระสิงห์ (หรือพระพุทธสิหิงค์) ซึ่งเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง และภายในวัดยังมีเจดีย์พระสิงห์ ซึ่งเป็นเจดีย์ประจำตัวของผู้ที่เกิดในปีนักษัตรมะโรงอีกด้วย นอกจากความสำคัญดังกล่าวแล้ว ภายในวัดพระสิงห์ยังเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสวยงามตามแบบศิลปะล้านนา ซึ่งนอกจากจะทรงคุณค่าในด้านของงานศิลปะแล้ว ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่และแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.30 – 17.00 น. 

พิกัด GPS : 18°47'16.9"N 98°58'56.9"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดพระสิงห์ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=108


วัดเจดีย์หลวง

 

             เมื่อมาถึงวัดพระสิงห์แล้ว แน่นอนว่าวัดสำคัญอีกหนึ่งแห่งที่จะพลาดไม่ได้คือ วัดเจดีย์หลวง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันเพียง 700 เมตร เพราะวัดแห่งนี้เรียกว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของเมืองเชียงใหม่ในฐานะศูนย์กลางการปกครองล้านนาในอดีตเลยก็ว่าได้

             วัดเจดีย์หลวง (Wat Chedi Luang) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ วัดโชติการาม เป็นหนึ่งในวัดสำคัญและแหล่งท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดของเมืองเชียงใหม่ โดยจุดเด่นคือพระเจดีย์ขนาดใหญ่ที่แม้จะได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อหลายร้อยปีก่อนจนยอดถล่มลงมา แต่ขนาดที่เหลืออยู่ก็ยังกว้างถึงด้านละ 60 เมตร ถือเป็น องค์พระเจดีย์ที่มีความสำคัญองค์หนึ่งในเชียงใหม่ และตั้งอยู่ใจกลางตัวเมืองเชียงใหม่ ทั้งยังถือว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของเมืองเชียงใหม่ในฐานะศูนย์กลางการปกครองล้านนาในอดีต

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 05.00 น. – 22.30 น.

พิกัด GPS : 18°47'13.1"N 98°59'11.7"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดเจดีย์หลวง ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=110


ตลาดวโรรส (กาดหลวง)

 

             ก่อนอำลาเชียงใหม่ใครๆ ก็คงต้องมองหาของฝาก โดยเฉพาะของฝากกินได้แสนอร่อย ไม่ว่าจะเป็นแคบหมู น้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว ข้าวซอยตัด และขนมอีกนานาชนิด ซึ่งตลาดประจำเมืองเชียงใหม่ที่เมื่อเอ่ยน้อยคนจะไม่รู้จักอย่างตลาดวโรรส เป็นสถานที่ที่เราสามารถเลือกซื้อเลือกหาของกินของฝากได้ทั้งหมดที่ว่ามา จากวัดเจดีย์หลวงมาตลาดวโรรสมีระยะทางเพียง 2 กิโลเมตรนิดๆ เท่านั้น

             ตลาดวโรรส (Waroros Market) หรือกาดหลวง เป็นทั้งตลาดสำคัญของชาวเมืองเชียงใหม่ และเป็นตลาดสำหรับการซื้อของกินของฝากยอดนิยมของบรรดานักท่องเที่ยว มีผลิตภัณฑ์และสินค้าที่หลากหลาย มีคุณภาพ และราคาถูก โดยเฉพาะของกินขึ้นชื่ออย่างไส้อั่ว น้ำพริก แคบหมู  และยังเป็นตลาดเก่าแก่ที่มีความเป็นมากว่าร้อยปี นักท่องเที่ยวสามารถแวะมาซื้อสินค้าได้ตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ และในบริเวณใกล้เคียงยังมีตลาดผลไม้และตลาดดอกไม้ให้เลือกซื้อได้เพิ่มเติมอีกเช่นกัน

เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 05.00 – 23.00 น.

พิกัด GPS : 18°47'24.0"N 99°00'02.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ตลาดวโรรส ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=160

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดพะเยา ประเทศไทย

จังหวัดพะเยาเป็นจังหวัดทางภาคเหนือที่เต็มไปด้วยวัดสวยๆ หลายแห่งที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมล้านนาอย่างงดงาม และยังเป็นที่ตั้งของวนอุทยานภูลังกาที่มีธรรมชาติอันสวยงามและอุดมสมบูรณ์ รวมถึงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อย่างกว๊านพะเยาให้เที่ยวชมอีกด้วย วันนี้ทาง Palanla จึงได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดพะเยามาฝากทุกท่านเพื่อเป็นแนวทางในการจัดทริปเที่ยวเหนือกันในวัดหยุดที่กำลังจะมาถึงนี้

อ่านต่อ

วัดพระนั่งดิน จังหวัดพะเยา ประเทศไทย

วัดพระนั่งดิน (Wat Phra Nang Din) เป็นวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพะเยา ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้อยู่ที่องค์พระประธานภายในวิหารของวัด นามว่าพระเจ้านั่งดินที่ประดิษฐานอยู่บนพื้น ซึ่งต่างจากพระพุทธรูปทั่วไปที่ต้องประดิษฐานอยู่บนฐาน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากในอดีตเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ไม่มีใครสามารถยกพระพุทธรูปขึ้นได้ แม้ต่อมาในยุคสมัยใหม่จะสามารถยกขึ้นประดิษฐานบนฐานได้ แต่หลังจากนั้นก็เกิดฟ้าผ่าลงหลังคาวิหารถึงสามครั้งจนต้องอัญเชิญพระพุทธรูปนี้ลงมาประดิษฐานไว้บนพื้นเช่นเดิม วัดแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและผู้มีจิตศรัทธาเป็นอย่างมาก

อ่านต่อ

จุดชมวิวภูลังกา จังหวัดพะเยา ประเทศไทย

จุดชมวิวภูลังกา (Phu Lanka Viewpoint) เป็นจุดชมวิวภายในวนอุทยานภูลังกาซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของอำเภอเชียงคำและอำเภอปง ไฮไลท์ของจุดชมวิวนี้อยู่ที่สามารถชมทัศนียภาพของภูเขาและหน้าผาต่างๆ ได้แบบพาโนรามา มีความสวยงามแตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาลและชมวิวได้ไกลถึงฝั่งลาว โดยช่วงเวลาที่ได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดคือช่วงปลายฝนต้นหนาวที่มีทะเลหมอกล่องลอยท่ามกลางยอดดอยและหน้าผา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมที่สุดในจังหวัดพะเยา

อ่านต่อ

๑๒ วัดสวยในภาคเหนือ พุทธศิลป์แห่งอาณาจักรล้านนา

ภาคเหนือ เป็นหนึ่งในภูมิภาคของประเทศไทย ที่มีวิถีชีวิตของชาวพื้นเมือง และขนบธรรมเนียมประเพณีที่เรียบง่าย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีชื่อเสียงอยู่มากมาย รวมไปถึงมีผลงานพุทธศิลป์แบบล้านนาสุดแสนจะวิจิตร ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของสถาปัตยกรรมและประติมากรรมในวัดวาอารามต่าง ๆ เป็นเอกลักษณ์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะมากราบสักการะ พร้อมชื่นชมผลงานศิลปะล้านนาที่อ่อนช้อย และทรงคุณค่า วันนี้ Palanla จึงจะขอชวนออกเดินทางไปเที่ยวชม และรับสิริมงคลกับ 12 วัดสวยในภาคเหนือกันค่ะ

อ่านต่อ

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (Doi Inthanon National Park) สถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงประจำจังหวัดเชียงใหม่ อุทยานที่สวยงาม และแวดล้อมไปด้วยทิวเขาสูงสลับซับซ้อน น้ำตก ถ้ำ ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนในทุกๆปี

อ่านต่อ

อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย

อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (Phu Chi Fa National Park) ผืนป่าบนยอดดอยที่มีจุดชมทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ที่มีความสวยงามติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

อ่านต่อ

วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน ประเทศไทย

วัดจามเทวี (Wat Chamdhevi) วัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำพูน ภายในวัดมีเจดีย์บรรจุอัฐิของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย วัดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์โบราณคดีที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทยด้วย

อ่านต่อ

กู่ช้าง กู่ม้า จังหวัดลำพูน ประเทศไทย

กู่ช้าง กู่ม้า (Khu Chang – Khu Ma) เป็นโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดลำพูน โดยเชื่อว่ากู่ช้าง เป็นสุสานช้างศึกคู่บารมีของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย ส่วนกู่ม้า เป็นสุสานม้าทรงของพระโอรสในพระนางจามเทวี

อ่านต่อ

พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชราชานุสรณ์ จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย

พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชราชานุสรณ์ (King Naresuan Stupa) เป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นในรูปแบบของสถูปเจดีย์พร้อมกับพระบรมรูปเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และรำลึกเหตุการณ์ครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเคยเสด็จมาประทับแรมที่เมืองงายแห่งนี้ก่อนกรีฑาทัพต่อไปยังเมืองอังวะของพม่าเมื่อปี พ.ศ. 2147 โดยสร้างขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นเส้นทางเดินทัพเมื่อในอดีต นักท่องเที่ยวและชาวเมืองเชียงใหม่นิยมมาสักการะและขอพร นอกจากนี้ ภายในบริเวณยังมีส่วนนิทรรศการค่ายหลวงจำลองที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งกรมศิลปากรจัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เที่ยวชมและเรียนรู้ประวัติศาสตร์อีกด้วย

อ่านต่อ

น้ำตกแม่สา จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย

น้ำตกแม่สา (Mae Sa Waterfall) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมในอำเภอแม่ริม น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 10 ชั้น สามารถเดินขึ้นไปชมความงดงามในแต่ละชั้นได้ตามทางเดินที่ทางอุทยานจัดทำไว้ให้ และหากใครสนใจเล่นน้ำคลายร้อนก็สามารถลงเล่นน้ำได้เช่นกัน โดยชั้นที่เป็นที่นิยมคือชั้นที่ 3-6 เพราะค่อนข้างปลอดภัยและสามารถเล่นได้ทั้งครอบครัว นอกจากนี้ภายในบริเวณยังมีร้านค้า ร้านอาหาร และห้องน้ำให้บริการอีกด้วย

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ