- หน้าแรก
- ท่องเที่ยวต่างประเทศ
- 9 วัน 8 คืน...ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนสวรรค์บนดิน
9 วัน 8 คืน...ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนสวรรค์บนดิน
- อ่าน (11,737)
- By Webmaster
- 14:43:56 | 8 ส.ค. 2565
9 วัน 8 คืน...ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนสวรรค์บนดิน
สวิตเซอร์แลนด์ คือดินแดนในฝันของใครหลายๆ คน ด้วยความงดงามของธรรมชาติบริสุทธิ์ ภาพของทะเลสาบสีฟ้าใสราวกับกระจก เนินเขาเขียวขจี บ้านเรือนหลังน้อยที่กระจายตัวอยู่อย่างเหมาะเจาะ เทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวเป็นแนวยาวโอบล้อมดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาของทวีปยุโรปแห่งนี้ ไปจนถึงความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ตามเมืองต่างๆ ล้วนแต่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครอยากเดินทางมาเยือนสักครั้ง
ทริปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ในครั้งนี้ เราวางแผนเที่ยวทั้งหมด 9 วัน 8 คืน โดยการเช่ารถขับเป็นหลัก ยกเว้นเวลาเที่ยวในตัวเมืองซึ่งการใช้บริการขนส่งสาธารณะจะสะดวกและคล่องตัวกว่า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเส้นทางจราจรและที่จอดรถที่บางเมืองนั้นก็หาได้ยาก ดังนั้นเราจึงซื้อบัตรเดินทางเหมาจ่ายประเภท Swiss Half Fare Card ซึ่งพิจารณาแล้วว่าเหมาะกับการเดินทางโดยเช่ารถรถขับเป็นหลักและเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะในเมืองเล็กน้อย โดยบัตร Swiss Half Fare Card ที่ว่านี้มีราคาเพียง 120 CHF ในขณะที่บัตร Swiss Travel Pass ที่หลายๆ คนอาจจะคุ้นหูมากกว่าราคาเริ่มต้นสำหรับ 3 วันก็อยู่ที่ 232 CHF แล้ว
บัตร Swiss Half Fare Card จะให้สิทธิ์เราในการใช้เป็นส่วนลดสูงสุด 50% เวลาซื้อตั๋วขึ้นรถบัส รถราง รถไฟ และเรือ รวมถึงกระเช้าขึ้นยอดเขาชื่อดังต่างๆ เช่นเดียวกันกับบัตร Swiss Travel Pass อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่บัตรนี้ไม่สามารถใช้เข้าพิพิธภัณฑ์กว่า 500 แห่งในสวิตเหมือนกับที่บัตร Swiss Travel Pass สามารถทำได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่นัยสำคัญสำหรับทริปสวิตเซอร์แลนด์ของเราในครั้งนี้ที่ไม่ได้มีหมุดหมายอยู่ที่การชมพิพิธภัณฑ์เท่าใดนัก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตร ได้ที่ : Swiss Travel Pass https://www.swiss-pass.ch/swiss-pass/ , Swiss Half Fare Card https://www.swiss-pass.ch/swiss-half-fare-card ซึ่งแผนการท่องเที่ยวทั้ง 9 วันของทริปนี้คือ
Day 1 (BKK - Zurich) เมือง Zug - Zuger altstadt - Zytturm Zug – เมือง Lucerne
Lion monument - Chapel Bridge - Lucerne Lake (พักค้างคืนที่ Renaissance Lucerne Hotel)
Day 2 เมือง Engelberge – ยอดเขา Titlis - เมือง Interlaken - Iseltwald – ยอดเขา Harder Kulm **Top of Interlaken (พักค้างคืนที่ Victoria Jungfrau Grand Hotel)
Day 3 Jungfraujoch **Top of Europe – เมือง Lauterbrunnen - หมู่บ้าน Stechelberg - หมู่บ้าน Murren - Staubbach Fall (พักค้างคืนที่ Hotel Alpenruh)
Day 4 ยอดเขา Schilthorn - Blausee Lake (พักค้างคืนที่ Kandersteg Typically Swiss Hotel)
Day 5 เมือง Zermatt - Gornergrat - ยอดเขา Matterhorn (พักค้างคืนที่ Hotel Ambassador Zermatt)
Day 6 เมือง Geneva - Jet d’ Eau - The Flower Clock - Broken Chair - Geneva Lake (พักค้างคืนที่ Novotel Geneva Centre)
Day 7 เมือง Lausanne - Lausanne Cathedral – เมือง Bern - Barengraben - Berner Münster - Zytglogge Clock Tower & Old Town (พักค้างคืนที่ Swissotel Kursaal Bern)
Day 8 เมือง Zurich – Bahnhofstrasse - Lindenhof – Grossmünster - St. Peter’s Church – Fraumünster - Zurich Old Town (พักค้างคืนที่ Ruby Mimi Hotel Zurich)
Day 9 (Zurich - BKK) เดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
Day 1 : (BKK - Zurich)
(เมือง Zug) Zuger altstadt - Zytturm Zug – (เมือง Lucerne) - Lion monument - Chapel Bridge - Lucerne Lake
(พักค้างคืนที่ : Renaissance Lucerne Hotel)
โดยในวันแรกคือวันที่เราบินไปลงที่ Zurich รับรถที่เช่าไว้ แต่ในวันนี้จะยังไม่เที่ยวใน Zurich โดยเราจะขับรถไปเที่ยวเมือง Zug และ Lucerne ก่อน ไล่เรียงจากเหนือลงใต้ แล้วเก็บ Zurich เอาไว้เที่ยววันที่ 8 ก่อนบินกลับไทยในวันรุ่งขึ้น
เมืองเก่าซุก (Zuger Altstadt)
เมืองซุก (Zug) อยู่ห่างจากซูริค 35 กิโลเมตร ขับรถประมาณ 30 นาทีถึง ซุกเป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี เป็นทางผ่านของหลายๆ เมือง เช่น จากเมืองซูริค (Zurich) หากจะไปเมืองลูเซิร์น (Lucerne) ก็ต้องผ่านเมืองซุกด้วย เมืองเล็กๆ แห่งนี้เคยเป็นเขตปกครองที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทว่าปัจจุบันคือเมืองที่รวยที่สุดของประเทศ เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของวิสาหกิจข้ามชาติหลายแห่ง แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแต่ยุคสมัยก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้ให้เราได้ชื่นชมและเก็บเกี่ยวความประทับใจอย่างไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่าซุก (Zuger Altstadt) ที่บรรยากาศของอาคารบ้านเรือนยังคงความเก่าแก่แต่สวยงาม พื้นถนนที่ปูด้วยหินจากยุคกลาง จัตุรัสที่มีน้ำพุโบราณประดับด้วยรูปปั้นอยู่หลายจุด ไปจนถึงทะเลสาบซุกที่สวยงามและถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปล้วนคือมนต์เสน่ห์ของเมืองเก่าแก่เล็กๆ แห่งนี้ ว่ากันว่า “พระอาทิตย์ตกที่ทะเลสาบซุกนั้นสวยงามที่สุดในสวิส”
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 47°09'56.3"N 8°30'51.7"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เมืองเก่าซุก ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1016
หอนาฬิกาเมืองซุก (Zytturm Zug)
แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ ทว่าเมืองซุกนั้นอุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง ซึ่งแลนด์มาร์กที่รู้จักกันดีที่สุดคือหอนาฬิกาเมืองซุก (Zytturm Zug) ความสูง 52 เมตร ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 โดยนาฬิกาที่ติดตั้งอยู่เป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ที่สามารถบอกข้างขึ้นข้างแรมของพระจันทร์ และยังสามารถบอกวันในสัปดาห์ ซึ่งครั้งหนึ่งหอนาฬิกานี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงวงแหวนและเป็นทางเข้าเมืองเก่าที่มีป้อมปราการด้วย
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 47°09'58.0"N 8°30'54.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หอนาฬิกาเมืองซุก ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1017
จาก Zug เราเดินทางต่อไปยังเมืองลูเซิร์น (Lucerne) ด้วยระยะห่างเพียงประมาณ 30 กิโลเมตร ลูเซิร์นเป็นหัวเมืองเก่าของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นอีกเมืองหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ของเมืองนี้คือ อนุสาวรีย์สิงโต (Lion monument) สะพานไม้แห่งลูเซิร์น หรือ สะพานชาเพล (Chapel Bridge) และทะเลสาบลูเซิร์น (Lucerne Lake)
สะพานชาเพล (Chapel Bridge)
สะพานชาเพล (Chapel Bridge) หรือสะพานไม้แห่งลูเซิร์น เป็นสะพานไม้เก่าแก่อายุกว่า 700 ปี ทอดตัวพาดผ่านแม่น้ำร็อยส์ (Royce River) ซึ่งไหลผ่านตัวเมืองลูเซิร์น สะพานความยาว 205 เมตรแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ตัวสะพานมีภาพวาดเก่าแก่จำนวน 62 ภาพ งานศิลปะเหล่านี้บรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ของลูเซิร์นย้อนไปถึงศตวรรษที่ 17 และบริเวณตรงกลางสะพานยังมีหอคอยกลางน้ำ เป็นสถาปัตยกรรมทรงแปดเหลี่ยม ปัจจุบันหอคอยนี้ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของลูเซิร์นและมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ภายในนั้นด้วย อย่างไรก็ตามสะพานชาเพลที่เห็นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่หลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี ค.ศ.1993 โดยสะพานได้รับการบูรณะใหม่อย่างรวดเร็วจนมีความสวยงามและดูเหมือนของเดิมในศตวรรษที่ 14 ใครได้ไปเยือนเมืองลูเซิร์นก็จะต้องแวะเวียนไปถ่ายรูปที่สะพานสะพานชาเพลแห่งนี้เป็นระลึก
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 47°03'05.9"N 8°18'27.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สะพานชาเพล ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1014
อนุสาวรีย์สิงโตแห่งลูเซิร์น (Lion Monument)
อนุสาวรีย์สิงโตแห่งลูเซิร์น (Lion Monument) หรือที่เรียกว่า “เลอเวินเด็งค์มาล” (Löwendenkmal) เป็นประติมากรรมแกะสลักบนพื้นผิวหินทรายเป็นรูปสิงโตนอนรอความตายอยู่บนกองโล่และหอก ความยาวเกือบ 10 เมตร อนุสาวรีย์แห่งนี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นหนึ่งในประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุโรป โดยในแต่ละปีนั้นมีผู้เดินทางมาเยี่ยมชมมากกว่าล้านคน อนุสาวรีย์สิงโตแห่งลูเซิร์นสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1821 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนระลึกถึงองครักษ์สวิสที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์คณะปฏิวัติบุกพระราชวังตุยเลอรี (Tuileries) ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ.1792 เหนือสิงโตมีคติพจน์ภาษาละตินจารึกไว้ว่า “Helvetiorum fedei ac Virtuti" อันหมายถึง "ศรัทธาแลเกียรติคุณของสวิส” ประติมากรรมรูปสิงโตนี้มีความประณีตงดงามมาก โดยใบหน้าของสิงโตนั้นแสดงถึงความเจ็บปวดก่อนจะสิ้นใจ นักเขียนชื่อดังอย่างมาร์ก ทเวน (Mark Twain) ได้กล่าวถึงอนุสาวรีย์สิงโตแห่งนี้ว่าเป็น “หินที่ดูเศร้าและสะเทือนใจที่สุดในโลก”
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 47°03'30.4"N 8°18'39.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อนุสาวรีย์สิงโตแห่งลูเซิร์น ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1015
ทะเลสาบลูเซิร์น (Lucerne Lake)
ทะเลสาบลูเซิร์น (Lucerne Lake) เป็นทะเลสาบที่มีความสวยงามด้วยน้ำสีฟ้าใส โอบล้อมด้วยอ้อมกอดแห่งเทือกเขาและอาคารบ้านเรือนรูปทรงน่ารักของเมืองลูเซิร์น ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมอันดับต้นๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ ทะเลสาบลูเซิร์นที่สวยงามแห่งนี้อยู่ใจกลางเมืองลูเซิร์น เมืองเก่าแก่ซึ่งเคยปกครองตนเองก่อนจะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี ค.ศ.1332 นอกจากทัศนียภาพอันสวยงามและความเก่าแก่ของสถาปัตยกรรมในเมืองนี้แล้ว ลูเซิร์นยังมีธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะทะเลสาบความยาว 38 กิโลเมตร โอบล้อมด้วยอ้อมกอดแห่งเทือกเขาและอาคารบ้านเรือนรูปทรงสีสันน่ารักสะดุดตาอันเป็นเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก การล่องเรือชมความงามของทะเลสาบลูเซิร์นก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเช่นกัน
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 47°02'49.4"N 8°19'49.3"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทะเลสาบลูเซิร์น ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1013
Day 2 :
(เมือง Engelberge) – ยอดเขา Titlis - (เมือง Interlaken) - Iseltwald – ยอดเขา Harder Kulm **Top of Interlaken
(พักค้างคืนที่ : Victoria Jungfrau Grand Hotel)
วันที่ 2 ของการเดินทาง จากเมือง Lucerne เราจะมุ่งหน้าสู่ยอดเขา Titlis ยอดเขาที่มีธารน้ำแข็งที่สูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีจุดเด่นคือกระเช้าไฟฟ้า “Titlis Rotair” กระเช้าไฟฟ้าหมุนได้ 360 องศาแห่งแรกของโลก ทำให้สามารถชมวิวที่งดงามรอบๆ เขาแห่งนี้ได้แบบพาโนรามา
ยอดเขาทิตลิส (Titlis)
ยอดเขาทิตลิส (Titlis) ตั้งอยู่ที่เมือง Engelberg เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดที่อยู่ใกล้กับเมือง Lucerne มีความสูงประมาณ 3,020 เมตร ทำให้บนยอดเขาอากาศหนาวเย็นและมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เกิดเป็นทัศนียภาพอันงดงามซึ่งเป็นเสน่ห์ของยอดเขาแห่งนี้ซึ่งจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปชม และด้วยแลนด์สเคปที่งดงามราวกับภาพวาดยอดเขาแห่งนี้จึงถือเป็นสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพอย่างยากที่จะปฏิเสธได้ กระเช้าขึ้นสู่ยอดเขา Titlis ใช้เวลาโดยรวมประมาณ 40 - 45 นาที โดยมีทั้งหมด 4 สถานี เริ่มจาก 1. สถานีด้านล่างที่ขึ้นกระเช้าจากเมือง Engelberg 2. สถานี Trubsee 3. สถานี Stand (เมื่อถึงสถานีนี้จะต้องลงเพื่อเปลี่ยนจากกระเช้าเล็กแบบ 6 คน ไปเป็นกระเช้า Rotair ที่ใหญ่กว่าซึ่งสามารถจุได้มากถึง 20 คน) 4.สถานี Klein Titlis ซึ่งเป็นสถานีกระเช้าชั้นบนสุด ด้านบนยอดเขาทิตลิสเป็นลานหิมะที่สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา และมีจุดถ่ายรูปสวยๆ หลายจุด สามารถมองเห็นทัศนียภาพของหุบเขาลึกลงไปเป็นแนวยาว มีเทือกเขาแอลป์เป็นฉากหลังสุดอลังการ นอกจากทัศนียภาพสวยๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้วบนยอดเขาทิตลิสยังมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น Ice Flyer มีลักษณะเป็นกระเช้าห้อยขา Titlis cliff walk เป็นสะพานเหล็กขึงสลิง ตั้งอยู่ระหว่างหน้าผาที่มีความสูงจากพื้นล่างถึง 500 เมตร และ Titlis Glacier Cave เป็นถ้ำใต้ธารน้ำแข็งความยาวประมาณ 150 เมตร
เวลาเปิด – ปิด : เปิดให้ขึ้นชมทุกวัน เวลา 08.30 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 46°46'19.4"N 8°26'16.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยอดเขาทิตลิส ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1029
เมื่อลงจากยอดเขา Titlis เราจะเดินทางไปยังเมือง Interlaken ที่พักของเราในคืนนี้ ระยะทางจาก Titlis ไป Interlaken ห่างกันราว 90 กิโลเมตร แต่ว่าระหว่างทางจะแวะเที่ยวกันที่หมู่บ้านอิเซลท์วอลด์ (Iseltwald) ด้วย
อิเซลท์วอลด์ (Iseltwald)
อิเซลท์วอลด์ (Iseltwald) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอ้อมกอดของทะเลสาบเบรียนซ์ (Brienz) ทะเลสาบที่ได้ชื่อว่ามีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นโลเคชันที่ใช้ถ่ายทำซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่างเรื่อง “Crash Landing on You” หรือชื่อภาษาไทยคือ “ปักหมุดรักฉุกเฉิน” ด้วย โดยมีฉากสำคัญคือสะพานท่าเทียบเรือที่พระเอกในเรื่องนั่งเล่นเปียโนนั่นเอง ภายในอิเซลท์วอลด์ ยังคงบรรยากาศของหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบและมีร้านอาหารอยู่เพียงไม่กี่แห่ง เหมาะสำหรับคนที่ชอบความสงบ สันโดษ ที่คนนิยมแวะมาเดินเที่ยวเมื่อมาเมืองอินเทอร์ลาเคน
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°43'50.3"N 7°59'27.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อิเซลท์วอลด์ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1034
จาก Iseltwald ต่อมายังตัวเมือง Interlaken ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ด้วยระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อมาถึงอินเทอร์ลาเคนเมืองทางผ่านขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ที่มีชื่อเสียงแล้ว ยอดเขาฮาร์เดอร์ คุล์ม (Harder Kulm) ก็ถือเป็นหนึ่งในยอดเขาชมวิวของสวิตเซอร์แลนด์ที่จะต้องแวะไปชมเมื่อมาอินเทอร์ลาเคน
ยอดเขาฮาร์เดอร์ คุล์ม (Harder Kulm)
ยอดเขาฮาร์เดอร์ คุล์ม (Harder Kulm) ถือเป็นหนึ่งในยอดเขาชมวิวของสวิตเซอร์แลนด์ที่ขึ้นได้ง่ายที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุดด้วยการนั่งรถรางขึ้นไปเพียง 10 นาทีเท่านั้น ทว่าความงดงามของวิวนั้นงดงามไม่แพ้ที่ใด ความโดดเด่นของยอดเขาฮาร์เดอร์ คุล์ม คือ มีจุดชมวิวมุมสูงที่ระดับ 1,321 เมตรจากระดับน้ำทะเล สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองอินเทอร์ลาเคนได้แบบพาโนรามา โดยด้านซ้ายเป็นวิวทะเลสาบเบรียนซ์ (Brienz) ส่วนด้านขวาเป็นทะเลสาบทูน (Thun) ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาสูงตระหง่านที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างไอเกอร์ (Eiger) เมินช์ (Mönch) และจุงเฟรา (Jungfrau) ทั้งนี้สิ่งที่โดดเด่น และดึงดูดให้ผู้คนเดินทางขึ้นมายอดเขาแห่งนี้ก็คือสะพานที่ยื่นออกไปจากหน้าผา ซึ่งสะพานแห่งนี้เองที่เป็นจุดชมวิวสำคัญ จากตรงนี้สามารถมองเห็นทะเลทั้งสาบสองแห่งและภูเขาทั้งสามได้อย่างชัดเจน นอกจากจุดชมวิวที่สวยงามแล้วบนยอดเขาฮาร์เดอร์ คุล์มยังมีร้านอาหาร Harder Kulm Panorama ให้บริการอาหารหลากหลายสไตล์ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 130 ที่นั่ง ให้ได้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์อย่างเต็มที่
เวลาเปิด – ปิด : ยอดเขา Harder Kulm เปิดให้ขึ้นไปเที่ยวได้ในช่วงเดือนเมษายน – พฤศจิกายน ทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 9.10 – 21.10 น. (ปลายเดือนตุลาคม – ปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว เปิดถึงเวลา 17.10 น.)
พิกัด GPS : 46°41'50.3"N 7°51'05.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยอดเขาฮาร์เดอร์ คุล์ม ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1031
อินเทอร์ลาเคน (Interlaken)
อินเทอร์ลาเคน (Interlaken) เป็นเมืองตากอากาศเล็กๆ ติดกับเทือกเขาแอลป์ ถือเป็นเมืองท่องเที่ ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเป็นเมืองทางผ่านที่จะขึ้นไปยังยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch) อันโด่งดังนั่นเอง อินเทอร์ลาเคนเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 สืบเนื่องจากจิตรกรชาวสวิสหลายคนได้วาดภาพทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองแห่งนี้ จนเผยแพร่ออกไปสู่สายตาผู้คน จึงมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเริ่มเดินทางมาพักผ่อนที่นี่ และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่สถานีรถไฟเมืองอินเทอร์ลาเคนเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟส่วนอื่นๆ ของประเทศ ด้วยธรรมชาติที่สวยงาม บวกกับภูมิศาสตร์ของเมืองที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทะเลสาบทุน (Thun) และทะเบสาบเบรียนซ์ (Brienz) โดยมีแม่น้ำอาเร (Aare) เชื่อมทั้งสองทะเลสาบผ่านกลางเมือง ทำให้อินเทอร์ลาเคนกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนหลังคาของทวีปยุโรปแห่งนี้
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°41'27.0"N 7°52'04.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อินเทอร์ลาเคน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1035
Day 3 :
Jungfraujoch **Top of Europe – (เมือง Lauterbrunnen) - หมู่บ้าน Stechelberg / หมู่บ้าน Murren / Staubbach Fall
(พักค้างคืนที่ : Hotel Alpenruh)
วันที่ 3 ของการเดินทาง วันนี้จุดหมายหลักของเราคือการขึ้นพิชิตยอดเขา Jungfraujoch ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Top of Europe จากนั้นจึงจะมุ่งหน้าสู่เมือง Lauterbrunnen แวะเที่ยวน้ำตก Staubbach Fall หมู่บ้าน Stechelberg และ หมู่บ้าน Murren ซึ่งจะเป็นที่พักสำหรับคืนนี้
จุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch)
จุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) หรือ ยอดเขาจุงเฟรา ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Top of Europe” เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปโดยเป็นส่วนหนึ่งในเทือกเขาแอลป์ และยังได้รับการยกย่องเป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของยุโรปจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2001 อีกด้วย ด้วยความสูงถึง 4,158 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บวกกับภูมิประเทศของเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนอันงดงามปกคลุมด้วยหิมะสีขาวตลอดทั้งปี ที่นี่จึงเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลายๆ คนที่สักครั้งหนึ่งในชีวิตอยากมาเยือน บนยอดเขาจุงเฟรามีจุดให้เที่ยวชมและทำกิจกรรมได้หลากหลาย ซึ่งจุดเที่ยวหลักๆ ของยอดเขาจุงเฟราประกอบด้วย Jungfrau Panorama, หอคอย Sphinx, ธารน้ำแข็ง Aletsch Glacier, ทัวร์รถไฟใต้ดิน Alpine Sensation, ถ้ำน้ำแข็งพันปี Ice Palace และที่ราบสูงริมเขา Plateau
การเดินทางขึ้นยอดเขาจุงเฟราจาก Interlaken นั้น สามารถเลือกเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ ไปทางเมืองกรินเดลวาลด์ (Grindelwald) ซึ่งก็คือเส้นทางที่เราเลือก หรือ ไปทางเมืองเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) แต่ไม่ว่าจะมาทางเมืองกรินเดลวาลด์ หรือ เมืองเลาเทอร์บรุนเนิน ก็จะมาบรรจบกันที่สถานีไคลน์ไซเด็ก (Kleine Scheidegg) จากนั้นต้องเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสีแดงเพื่อขึ้นสู่ยอดเขาที่สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch)
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 7.30 - 15.30 น.
พิกัด GPS : 46°32'50.2"N 7°58'55.7"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ จุงเฟรายอร์ค ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1031
ลงจากยอดเขาจุงเฟราแล้ว จาก Grindelwald เราจะเดินทางต่อไปยังเมือง Lauterbrunnen โดยแวะเที่ยวน้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach Fall)
น้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach Fall)
น้ำตกความสูงร่วม 300 เมตรที่ไหลลงมาจากโตรกผาสูงในเมืองเลาเทอร์บรุนเนน ถือเป็นน้ำตกที่สูงเป็นอันดับที่สามของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นหนึ่งในน้ำตกที่ตกลงมาแบบรวดเดียวจบที่สูงที่สุดในยุโรป น้ำตกชเตาบ์บาคแห่งนี้เกิดจากหิมะที่ละลายจากยอดเขาทำให้เกิดสายน้ำตก เรียกได้ว่าเป็นน้ำตกที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาน้ำตกที่มีอยู่มากถึง 72 แห่งในเมืองแถบนี้ กระแสน้ำตกที่ไหลแรง ตกลงมาจากโตรกผาสูง กระทบโขดหินฟุ้งกระจายไปทั่ว เกิดเป็นภาพที่สวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ บวกกับบรรยากาศโดยรอบที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์ สดชื่น และสภาพภูมิประเทศโดยรอบที่งดงาม ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของผู้ที่มาเที่ยวเมืองเลาเทอร์บรุนเนนจะต้องไม่พลาด
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°35'22.7"N 7°54'19.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ น้ำตกชเตาบ์บาค ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1027
จาก Staubbach Fall มาทางใต้ประมาณ 5 กิโลเมตรคือหมู่บ้านสเตเชลเบิร์ก (Stechelberg) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ บรรยากาศเงียบสงบ มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขาชิลธอร์น (Schilthorn) อันเลื่องชื่อที่เราจะเดินทางไปกันในวันพรุ่งนี้
หมู่บ้านสเตเชลเบิร์ก (Stechelberg)
หมู่บ้านสเตเชลเบิร์ก (Stechelberg) มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขาไปยังสถานีกิมเมลวัลด์ (Gimmelwald) มูร์เรน (Murren) และมีสถานีปลายทางคือยอดเขาซิลธอร์น (Schilthorn) ภูเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในหุบเขาเบอร์นีสแอลป์ รอบๆ หมู่บ้านสเตเชลเบิร์กมีบรรยากาศเงียบสงบ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่บริสุทธิ์และสวยงาม สามารถมองเห็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของภูมิภาคนี้อย่างน้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach Fall) ที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูง ภายในหมู่บ้านสเตเชลเบิร์ก มีโรงแรมให้บริการแก่นักท่องเที่ยวเพียงไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนิยมพักที่เลาเทอร์บรุนเนน แล้วเดินทางมาเที่ยวที่นี่ หรือแวะเที่ยวระหว่างทางที่ไปเที่ยวยอดเขาชิลธอร์นมากกว่า
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°35'15.1"N 7°53'50.7"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หมู่บ้านสเตเชลเบิร์ก ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1032
หลังจากแวะเที่ยวสเตเชลเบิร์ก (Stechelberg) แล้ว จากสเตเชลเบิร์กเราจะนั่งกระเช้าขึ้นไปที่หมู่บ้านมูร์เรน (Murren) ซึ่งจะเป็นที่พักในคืนนี้ด้วย และเพื่อที่ว่าในวันรุ่งขึ้นจากมูร์เรนจะได้นั่งกระเช้าขึ้นไปเที่ยวยอดเขาชิลธอร์น (Schilthorn) ต่อเลย
หมู่บ้านมูร์เรน (Murren)
หมู่บ้านมูร์เรน (Murren) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาแอลป์ กึ่งกลางระหว่างหุบเขาเลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen) กับ ยอดเขาชิลธอร์น (Schillthorn) บนระดับความสูงที่ 1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หมู่บ้านมูร์เรนไม่มีถนนเข้าถึง มีเพียงทางรถไฟและกระเช้าลอยฟ้าเท่านั้นไปยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งการเดินทางโดยกระเช้าจะใช้เวลาราวๆ 20 นาที หมู่บ้านมูร์เรนถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านขึ้นไปยังยอดเขาชิลธอร์นที่ทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ ใครได้มาเยือนก็จะต้องหลงรักในมนต์เสน่ห์ของบ้านเรือนแบบสวิสชาเลต์ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาแห่งนี้ ซึ่งมีทั้งที่เป็นบ้านเรือนที่พักอาศัยและส่วนของโรงแรมร้านอาหาร ตกแต่งน่ารักด้วยดอกไม้สีสันสดใส เพิ่มชีวิตชีวาให้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°33'27.7"N 7°53'28.7"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หมู่บ้านมูร์เรน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1033
Day 4 :
ยอดเขา Schilthorn - Blausee Lake
(พักค้างคืนที่ : Kandersteg Typically Swiss Hotel)
วันที่ 4 จาก Murren เราจะนั่งกระเช้าไปยังยอดเขา Schilthorn โดยก่อนจะถึง Schilthorn นั้นจะต้องเปลี่ยนกระเช้าที่สถานี Birg ซึ่งที่นี่ก็จะมีทั้งร้านอาหารและระเบียงชมวิวขนาดใหญ่ เป็นจุดชมวิวที่น่าตื่นตาตื่นใจ สามารถมองเห็นยอดเขา Eiger, Monch และ Jungfrau ได้อย่างชัดเจน และยังมีบันไดสำหรับเดินลงไปชมวิวริมขอบหน้าผาอย่างน่าตื่นเต้นอีกด้วย หลังจากที่อิ่มเอมกับวิวสวยๆ ที่สถานี Birg แล้วค่อยเดินทางต่อไปสถานี Schilthorn จุดหมายหลักในวันนี้
ยอดเขาชิลธอร์นและร้านอาหารพิซกลอเรีย (Schilthorn – Piz Gloria)
ยอดเขาชิลธอร์นและร้านอาหารพิซกลอเรีย (Schilthorn – Piz Gloria) เรียกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความสูง 2,970 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในหุบเขาเบอร์นีสแอลป์ ซึ่งเป็นทั้งสถานที่เล่นสกี ไต่เขา และชมทิวทัศน์ โดยในช่วงฤดูหนาวยอดเขาชิลธอร์นยังเป็นสถานที่แข่งขันสกีเนินเขา ซึ่งได้ชื่อว่ายาวที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปีค.ศ.1928 บนยอดเขาชิลธอร์นเป็นบริเวณที่มักปกคลุมด้วยหิมะแม้เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว จากด้านบนนี้สามารถมองเห็นวิวของหุบเขาสวยๆ ในเมือง Lauterbrunnen และทัศนียภาพของเทือกเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อนปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนแบบพาโนรามา ด้านบนสุดของยอดเขาซิลธอร์นมีไฮไลต์สำคัญคือ พิซกลอเรีย (Piz Gloria) เป็นร้านอาหารบนยอดเขาที่หมุนได้ 360 องศา หมุนเป็นวงกลมโดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที ให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิวของเทือกเขาแอลป์แบบรอบทิศทางไม่ว่าจะนั่งอยู่ตรงไหน ร้านอาหารแห่งนี้ยังถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ ในฐานะที่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย 007 (James Bond 007) ตอน ยอดพยัคฆ์ราชินี (Her Majesty's Secret Service) ที่นำแสดงโดย George Lazenby ในปี ค.ศ.1960 ด้วย
เวลาเปิด – ปิด : วันจันทร์ – เสาร์ เปิดเวลา 8.00 –18.00 น. วันอาทิตย์ เปิดเวลา 8.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 46°33'26.1"N 7°50'06.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยอดเขาชิลธอร์นและร้านอาหารพิซกลอเรีย ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1028
หลังจากใช้เวลาดื่มด่ำกับวิวสวยๆ บนยอดเขาชิลธอร์น (Schillthorn) อย่างเต็มอิ่มแล้ว เราก็นั่งกระเช้ากลับลงมาที่สเตเชลเบิร์ก (Stechelberg) สถานีต้นทาง แล้วขับรถต่อไปยังทะเลสาบเบลาเซ (Blausee Lake) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมือง Frutigen และ เมือง Kandersteg เมืองที่เราจะแวะค้างคืนในคืนนี้ ด้วยระทาง 53 กิโลเมตร
ทะเลสาบเบลาเซ (Blausee Lake)
ทะเลสาบเบลาเซ (Blausee Lake) เป็นทะเลสาบสีฟ้าใสขนาดย่อมล้อมรอบด้วยป่าไม้ร่มรื่น และยังเป็นสถานที่เพาะพันธุ์ปลาเทราต์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ด้วย เบลาเซ “Blausee” แปลว่าทะเลสาบสีฟ้า ทะเลสาบแห่งนี้เป็นของเอกชน ทว่าอนุญาตให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปเที่ยวได้ ภายในสาบเบลาเซมีรูปปั้นหญิงสาวอยู่ใต้น้ำด้วย ซึ่งรูปปั้นนี้สร้างขึ้นเชื่อมโยงกับตำนานความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง โดยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับทะเลสาบเบลาเซแห่งนี้ว่า มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งมักจะมาพบกันที่ทะเลสาบแห่งนี้เป็นประจำ กระทั่งวันหนึ่งฝ่ายชายได้ตายจากไป หญิงสาวจึงมาร้องไห้คร่ำครวญถึงคนรักที่ทะเลสาบแห่งนี้จนน้ำในทะเลสาบกลายเป็นสีฟ้าจากน้ำตาของเธอนั่นเอง น้ำในทะเลสาบเบลาเซนั้นเป็นสีฟ้าใสราวกับผลึกคริสตัลสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ สามารถมองเห็นฝูงปลาเทราต์ (Trout) จำนวนมากมายแหวกว่ายให้ชมอย่างน่าตื่นตื่นตื่นใจ
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.00 – 21.00 น.
พิกัด GPS : 46°31'56.6"N 7°39'53.5"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทะเลสาบเบลาเซ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1026
Day 5 :
(เมือง Zermatt) - Gornergrat - ยอดเขา Matterhorn
(พักค้างคืนที่ : Hotel Ambassador Zermatt)
วันที่ 5 นี้จากเมือง Kandersteg เราจะมุ่งหน้าต่อไปยังเมือง Zermatt แต่ว่าการเดินทางไปเที่ยวเซอร์แมทนั้นเราจะไม่สามารถขับรถไปถึงเมืองเซอร์แมทได้ เนื่องจากเซอร์แมทเป็นเมืองปลอดมลพิษ ซึ่งภายในเมืองจะอนุญาตให้ใช้รถไฟฟ้าได้เพียงอย่างเดียว หมายความว่าคนที่ขับรถมาเที่ยวจะต้องจอดรถไว้ที่เมือง Täsch ซึ่งอยู่ห่างจากเซอร์แมทประมาณ 7 กิโลเมตร แล้วขึ้นรถไฟหรือรถชัทเทิลบัสไฟฟ้าต่อมายังเมืองเซอร์แมทอีกที
เซอร์แมท (Zermatt)
เซอร์แมท (Zermatt) เป็นเมืองชนบทในเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่ในรัฐวาเล (Valais) มีชื่อเสียงเรื่องเมืองแห่งสกีรีสอร์ตและการปีนเขา ถือเป็นเมืองสกีรีสอร์ตที่แพงที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปและมีโรงแรมชื่อดังตั้งอยู่มากมาย บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างในเมืองเซอร์แมททำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ตามถนนปูด้วยหิน บางจุดมีกระท่อมเล็กๆ และโรงนา บวกกับอากาศบริสุทธิ์ของเทือกเขาแอลป์ด้วยแล้ว เป็นบรรยากาศที่มีเสน่ห์และใครๆ ต่างต้องหลงรักเมืองที่สวยงามแห่งนี้ โดยสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ความสวยงามของเมืองที่มียอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) รูปทรงพีระมิดเป็นฉากหลัง ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ท่ามกลางเทือกเขาที่เรียงรายสลับซับซ้อน
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°00'51.7"N 7°44'43.7"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เซอร์แมท ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1025
ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn)
ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) แปลว่า ยอดเขาของเซอร์แมท หรือ ยอดเขาของทุ่งหญ้า โดยคำว่าทุ่งหญ้าในที่นี้หมายถึงทุ่งหญ้ารอบๆ หมู่บ้านเซอร์แมทนั่นเอง ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเมื่อ 50 ล้านปีก่อน เป็นภูเขาที่สง่างามด้วยความสูง 4,478 เมตร มียอดเขาทรงพีระมิดที่ปกคลุมด้วยหิมะ ด้วยความงามที่แปลกตาและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้มีบริษัทระดับโลกนำภาพของยอดเขาลูกนี้ไปเป็นสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแล็ตทับเบอโรน (Toblerone) ที่โด่งดัง และผู้ผลิตหนังรายใหญ่ของโลกอย่างพาราเมาท์พิคเจอร์ (Paramount Pictures) การเดินทางไปชมวิวยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นนั้นมี 2 เส้นทางหลักในการขึ้นไปชมคือ การนั่งรถไฟขึ้นไปชมจากยอดเขา Gronergrat และการนั่งกระเช้าขึ้นไปชมบน Matterhorn Glacier Paradise ซึ่งเส้นทางที่เราเลือกก็คือการนั่งรถไฟขึ้นไปชมจากยอดเขา Gronergrat จากบนเขาจะเผยให้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามสุดอลังการของยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นและเทือกเขาตระหง่านที่เรียงราย รวมถึงธารน้ำแข็ง Gorner Glacier ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเทือกเขาแอลป์ ครอบคลุมพื้นที่ 57 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว
เวลาเปิด – ปิด : รถไฟขึ้นเขาไป Gronergrat ให้บริการทุกวันเวลา 07.00 – 19.00 น.
พิกัด GPS : 45°58'35.7"N 7°39'30.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1030
Day 6 :
(เมือง Geneva) - Jet d’ Eau / The Flower Clock / Broken Chair / Geneva Lake
(พักค้างคืนที่ : Novotel Geneva Centre)
วันที่ 6 ของทริปนี้ หลังจากกลับไปเอารถที่จอดไว้ที่เมือง Tasch แล้วเราก็ขับมุ่งหน้าต่อไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมือง Geneva กับระยะทางราวๆ 245 กิโลเมตร เมืองเจนีวาเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์รองจากซูริค ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนานาชาติ (Global City) เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติที่สำคัญหลายองค์กร ทั้งยังเป็นเมืองคมนาคมหลักของทวีปยุโรปอีกด้วย
น้ำพุแฌโด (Jet d'Eau / Geneva Water Fountain)
น้ำพุแฌโด (Jet d'Eau / Geneva Water Fountain) หนึ่งในน้ำพุที่สูงที่สุดในโลกที่อยู่คู่กับนครเจนีวามานานกว่า 100 ปี น้ำพุแฌโดเป็นน้ำพุขนาดใหญ่ความสูง 140 เมตร สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมในเมือง เเละกลายมาเป็นเเลนด์มาร์กสำคัญที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวเจนีวาก็ต้องไม่พลาดมาชมความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำพุแห่งนี้ น้ำพุแฌโดยังเคยถูกใช้เป็นโลโก้ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีค 2008 ด้วย น้ำพุแฌโดได้รับการติดตั้งครั้งแรกในปี ค.ศ. 1886 ณ บริเวณที่ค่อนไปทางใต้เล็กน้อยจากตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งเมื่อแรกติดตั้งน้ำพุมีความสูงเพียง 30 เมตร ต่อมาในปี ค.ศ. 1891 ได้ถูกย้ายมาติดตั้งในตำแหน่งปัจจุบันเพื่อเฉลิมฉลองในงานเทศกาล 600 ปีการก่อตั้งสมาพันธรัฐสวิส โดยมีการเพิ่มความแรงของน้ำพุเป็นที่ความสูง 90 เมตรในปี ค.ศ. 1951 และเพิ่มความแรงของน้ำพุอีกเป็นความสูงปัจจุบันคือ 140 เมตร ซึ่งต้องสร้างสถานีสูบน้ำแยกต่างหาก เรียกว่าตลอดเวลาที่น้ำพุแห่งนี้ทำงานจะมีน้ำปริมาณกว่า 7,000 ลิตรลอยอยู่ในอากาศ
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10.00 - 22.30 น.
พิกัด GPS : 46°12'26.6"N 6°09'21.2"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ น้ำพุแฌโด ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1038
นาฬิกาดอกไม้ (The Flower Clock / L’horloge fleurie)
นาฬิกาดอกไม้ (The Flower Clock / L’horloge fleurie) หนึ่งในแลนด์มาร์คที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเมืองเจนีวา และมีเข็มวินาทีที่ยาวที่สุดในโลก นาฬิกาดอกไม้ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของ Jardin Anglais ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1955 มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้และพืชพันธุ์ประมาณ 12,000 ชนิด หน้าปัดนาฬิกาจะเปลี่ยนสีสันและการตกแต่งไปตามฤดูกาล โดยในแต่ละปีจะเปลี่ยน 4 ครั้งด้วยกัน นาฬิกาดอกไม้ไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น ทว่า ยังบอกเวลาด้วยความแม่นยำแบบสวิส โดยเวลาที่ปรากฏบนหน้าปัดนาฬิกาดอกไม้นี้ถูกส่งผ่านดาวเทียม นอกจากนี้เข็มวินาทีความยาว 2.5 เมตรบนหน้าปัดนาฬิกาดอกไม้แห่งนี้ ยังเป็นเข็มวินาทีที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°12'15.1"N 6°09'03.5"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นาฬิกาดอกไม้ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1037
อนุสาวรีย์เก้าอี้ 3 ขา หรือ เก้าอี้ชำรุด (Broken Chair)
อนุสาวรีย์เก้าอี้ 3 ขา หรือ “เก้าอี้ชำรุด” (Broken Chair) เป็นประติมากรรมเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่มีขาข้างหนึ่งที่หัก สูงตระหง่านเหนือลานกว้างของ Place des Nations ในกรุงเจนี โดยอยู่ตรงข้ามกับที่ตั้งขององค์การสหประชาชาติ หรือ UN เก้าอี้ 3 ขา สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1997 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการลงนามสนธิสัญญาระหว่างประเทศเรื่องการห้ามใช้ระเบิดคลัสเตอร์ ออกแบบโดยศิลปินชาวสวิสชื่อ แดเนียล แบร์เซ็ต (Daniel Berset ) และก่อสร้างขึ้นโดยช่างไม้คือ หลุยส์ เจนีวา (Louis Geneva) เป็นประติมากรรมชื่อดังที่สร้างขึ้นจากไม้ ความสูง 12 เมตร และมีน้ำหนัก 5.5 ตัน และมีจุดเด่นคือขาเก้าอี้ข้างหนึ่งนั้นผุพังไปครึ่งหนึ่ง ทำให้เก้าอี้นั้นมีเพียง 3 ขา ทว่ายังคงตั้งอยู่ได้ด้วยการสร้างตามหลักวิศวกรรม เรียกได้ว่าเป็นชิ้นงานที่สะท้อนถึงศิลปะยุคศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี ตามจริงเก้าอี้สามขาควรจะตั้งอยู่ลานน้ำพุ Place des Nations พียงสามเดือน แต่เก้าอี้ตัวนี้ก็อยู่ที่นี่มานานกว่า 20 ปีแล้วจวบจนบัดนี้ อนุสาวรีย์แห่งนี้ยังกลายมาเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของสถานที่ท่องเที่ยวในเจนีวา ใครมาเที่ยวที่เจนีวาก็มักจะมาถ่ายรูปกับเก้าอี้ยักษ์ 3 ขาตัวนี้ และยังเป็นจุดนัดพบของชาวสวิสด้วย
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°13'21.9"N 6°08'20.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อนุสาวรีย์เก้าอี้ 3 ขา ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1039
ทะเลสาบเจนีวา (Geneva Lake)
ทะเลสาบเจนีวา (Geneva Lake) หรือ ทะเลสาบเลมอง (Lac Léman) นอกจากจะเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรปกลางแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในเมืองเจนีวา ทะเลสาบเจนีวามีลักษณะคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ความยาว 73 กิโลเมตร ความกว้าง 14 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 582 ตารางกิโลเมตร หรือ 363,750 ไร่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของทะเลสาบเจนีวานั้นอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และมีบางส่วนอยู่ในเขตประเทศฝรั่งเศส กิจกรรมในการท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบมีมากมาย ทั้งเดินเล่น นั่งเล่นริมทะเลสาบ ดูฝูงหงส์ขาวแหวกว่ายอยู่บนผืนน้ำใสสะอาดโดยมีเทือกเขาแอลป์ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง เพลิดเพลินกับการชมเรือใบและล่องเรือชมความงามของธรรมชาติ
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°15'16.2"N 6°10'31.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทะเลสาบเจนีวา ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1036
Day 7 :
(เมือง Lausanne) - Lausanne Cathedral – (เมือง Bern) - Barengraben – Berner Münster - Zytglogge Clock Tower & Old Town
(พักค้างคืนที่ : Swissotel Kursaal Bern)
วันที่ 7 จากเจนีวาเราจะเดินทางไปยังเมืองโลซาน (Lausanne) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเจนีวาขึ้นไปราวๆ 63 กิโลเมตร ขับรถไม่ถึงชั่วโมงก็ถึง แวะเที่ยวที่โลซานจากนั้นต่อไปยังเบิร์น (Bern) เมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ห่างจากโลซานประมาณ 100 กิโลเมตร
เมืองโลซาน (Lausanne)
เมืองโลซาน (Lausanne) เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของทะเลสาบเจนีวาและมีพรมแดนติดกับประเทศฝรั่งเศส ด้วยสภาพภูมิทัศน์ที่โอบล้อมด้วยภูเขา มีทิวทัศน์สวยงามใกล้ชิดธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมสวยงามคลาสสิกสไตล์ฝรั่งเศสจากศตวรรษที่ 12-14 โลซานจึงเป็นจุดหมายปลายทางของผู้คนหลายๆ กลุ่มมาทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่สมัยที่ชาวโรมันมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอบทะเลสาบเจนีวาเนื่องจากเป็นชัยภูมิที่สามารถเชื่อมต่อกับอาณาจักรโรมันเมืองอื่นๆ ได้สะดวก เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันโลซานก็ยังคงเป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ด้วยพรมแดนที่มีพื้นที่ติดกับประเทศฝรั่งเศสประชากรส่วนใหญ่ในโลซานจึงพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก เมืองโลซานมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์กีฬาโอลิมปิก (Olympic Museum) พิพิธภัณฑ์ศิลปะ คอลเลคชั่น เดอ ลาร์ท บรู (Collection de l’Art Brut) และอาสนวิหารโลซาน (Lausanne Cathedral) ซึ่งถือเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°31'09.7"N 6°37'56.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เมืองโลซาน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1043
อาสนวิหารโลซาน (Lausanne Cathedral)
อาสนวิหารโลซาน (Lausanne Cathedral) หรือชื่อเต็มคือ อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งโลซาน (Cathédrale Notre-Dame de Lausanne) ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเมืองโลซาน เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ระดับอาสนวิหารประจำเมืองโลซาน อาสนวิหารแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้าง 65 ปี โดยเริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1170 และแล้วเสร็จในปี 1235 อาสนวิหารโลซานคือสถาปัตยกรรมทางศาสนาสุดล้ำค่าที่งดงามและถือเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ บริเวณซุ้มทางเข้าเป็นงานแกะสลักที่สุดประณีตงดงาม ภายในมีความโอ่อ่าและงดงามด้วยกระจกหลากสี 105 บาน และหน้าต่างกุหลาบซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของโลกยุคกลางเกี่ยวกับพระเจ้า นอกจากสถาปัตยกรรมที่งดงามอลังการแล้ว ไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวอาสนวิหารโลซานคือจุดชมวิวที่อยู่บริเวณยอดของปราสาทที่ต้องขึ้นบันไดไปถึง 160 ขั้นด้วยกัน จากจุดชมวิวนี้จะมองเห็นทิวทัศน์รอบๆ เมืองโลซานที่สวยงาม รวมถึงทะเลสาบเจนีวาที่อยู่เบื้องล่าง และแนวเขาไกลออกไปที่อยู่ในฝั่งเขตแดนของประเทศฝรั่งเศส ทัศนียภาพจากจุดนี้ในยามที่พระอาทิตย์ตกดินจะยิ่งมีความงดงามมาก
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 9.00 – 17.30 น.
พิกัด GPS : 46°31'21.3"N 6°38'07.2"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อาสนวิหารโลซาน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1044
บ่อหมี (Baren Graben)
กรุงเบิร์น เป็นเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ มีหมีสีน้ำตาลเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งนอกจากจะมีสัญลักษณ์รูปหมีสีน้ำตาลปรากฏให้เห็นบนสิ่งต่างๆ มากมายภายในกรุงเบิร์นแล้ว ที่กรุงเบิร์นยังมีบ่อหมี (Baren Graben) ให้ได้ชมด้วย บ่อหมี หรือ ที่เรียกกันว่า “แบเรนกราเบิน” (Baren Graben) เป็นบ่อปูนขนาดใหญ่ที่ทำเป็นบ้านให้หมีอยู่ สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเบิร์นก็ว่าได้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ทราบว่ากรุงเบิร์นแห่งนี้คือเมืองหมี สืบเนื่องจากประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยผู้ครองเบิร์น คือ ดยุคบรดโทลด์ (Berthod) ที่ 5 แห่งราชวงศ์แซริงเกน (Zahringen) ที่ได้เข้ามาปกครองและสร้างปราสาทขึ้นบริเวณปลายแหลมริมฝั่งแม่น้ำ ณ เมืองนี้ พระองค์ทรงตรัสว่าหากล่าสัตว์ชนิดใดได้เป็นตัวแรกจะนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของเมือง โดยสัตว์ตัวแรกที่ล่าได้คือหมีจึงได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า 'เบิร์น' ที่แปลว่าหมีในภาษาดัตช์นั่นเอง ในอดีตกรุงเบิร์นเคยสร้างบ่อหมีให้อยู่คู่กับเมืองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 โดยมีการย้ายที่ตั้งไปหลายแห่ง จนครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1996 ได้ย้ายมาตั้ง ณ ที่ตั้งปัจจุบันบริเวณทางเข้าเมือง บริเวณบ่อหมียังเป็นจุดชมวิวตัวเมืองเบิร์นตัดกับแม่น้ำอาเร (Aare) ที่มีทัศนียภาพสวยงามอีกมุมหนึ่งด้วย
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 8.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 46°56'52.7"N 7°27'34.8"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บ่อหมี ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1040
มหาวิหารแห่งกรุงเบิร์น หรือ เบอร์เนอร์ มุนสเตอร์ (Berner Munster)
มหาวิหารแห่งกรุงเบิร์น หรือ “เบอร์เนอร์ มุนสเตอร์” (Berner Munster) เป็นโบสถ์ประจำเมืองที่สำคัญของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ที่จัตุรัส Munsterplatz ในเขตเมืองเก่าของกรุงเบิร์น มหาวิหารแห่งนี้เด่นตระหง่านด้วยยอดแหลมแบบโกธิกที่มองเห็นแต่ไกลจากทั่วทุกมุมเมือง ถือเป็นส่วนที่โดดเด่นเป็นสง่าที่สุดของกรุงเบิร์นก็ว่าได้ มหาวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1421 โดยใช้เวลาสร้างกว่า 470 ปีจึงแล้วเสร็จ ภายในมีงานศิลปะทางศาสนาอายุหลายร้อยปีให้ได้ชม จุดเด่นของมหาวิหารแห่งกรุงเบิร์นอยู่บริเวณเหนือประตูทางเข้าหลักของมหาวิหาร เป็นภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยหน้าต่างประดับกระจกสีจำนวนมาก บางบานมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 15 ไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวมหาวิหารแห่งนี้คือ จุดชมวิวจากบนยอดหอระฆังสูง 101 เมตร ที่ต้องก้าวขึ้นบันได 312 ขั้นขึ้นไป เมื่อมองจากยอดหอคอยของมหาวิหารจะเห็นทิวทัศน์อันสวยงามรอบๆ เมือง แม่น้ำอาเร และเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 46°56'50.1"N 7°27'05.8"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ มหาวิหารแห่งกรุงเบิร์น ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1041
หอนาฬิกาดาราศาสตร์ และเมืองเก่าเบิร์น (Zytglogge Clock Tower & Old Town)
หอนาฬิกาดาราศาสตร์และเมืองเก่าเบิร์น (Zytglogge Clock Tower & Old Town) กรุงเบิร์นเมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเมืองเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคกลางซึ่งยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 พื้นที่โดยรอบกรุงเบิร์นมีตรอกซอกซอยสวยๆ มากมาย ภูมิทัศน์ภายนอกอาคารส่วนใหญ่เป็นหินทราย กลิ่นอายแห่งอดีตยังคงอวลอยู่ในบรรยากาศรอบๆ เมืองเก่า (Old Town) แห่งนี้ หนึ่งในจุดท่องเที่ยวหลักของเมืองเก่าเบิร์นก็คือ นาฬิกาไซ้ท์คล็อคเค่นทรัม (Zytglogge Clock Tower) เป็นหอนาฬิกาดาราศาสตร์เก่าแก่จากยุคกลาง สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อเป็นประตูเมืองแห่งแรก แต่พอมีการสร้าง Prison Tower จึงเปลี่ยนไปใช้ Prison Tower เป็นประตูเมืองแทน และดัดแปลงไซ้ท์คล็อคเค่นทรัมให้กลายมาเป็นหอนาฬิกาพร้อมติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์เข้าไป โดยด้านล่างหน้าปัดใหญ่นั้นมีหน้าปัดขนาดเล็กอีกหนึ่งเรือนอยู่ แสดงเวลา วัน เดือน ปี และจักรราศี ซึ่งไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวต่างเฝ้ารอชมคือ ช่วง ‘Golden Hour Beater’ ในทุกๆ 5 นาทีก่อนครบชั่วโมงจะมีเสียงไก่ขัน จากนั้นเหล่าตุ๊กตาจะออกมาเริงระบำ และปิดท้ายด้วยเสียงระฆังนั่นเอง
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 46°56'52.4"N 7°26'51.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หอนาฬิกาดาราศาสตร์และเมืองเก่าเบิร์น ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1042
Day 8 :
(เมือง Zurich) – Zurich Old Town – Lindenhof - Bahnhofstrasse – Grossmünster - St. Peter’s Church – Fraumünster
(พักค้างคืนที่ : Ruby Mimi Hotel Zurich)
วันที่ 8 ของการเดินทางคือวันที่เราจะขับรถจากกรุงเบิร์นกลับไปที่ซูริค เที่ยวในตัวเมือง และเตรียมตัวเดินทางกลับสู่ประเทศไทยในวันรุ่งขึ้น
เมืองเก่าซูริค (Zurich Old Town)
ซูริค หนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางทั่วโลกใฝ่ฝัน ด้วยบรรยากาศของความเป็นเมืองเก่า (Zurich Old Town) ถนนหินกรวดคดเคี้ยวอันเป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมเก่าแก่ อาคารบ้านเรือนสวยๆ ที่มีรูปแบบเฉพาะตัว ตลอดจนร้านค้า คาเฟ่ ที่เรียงรายอยู่ตามถนนหนทาง ผนวกกับบรรยากาศแสนผ่อนคลายริมแม่น้ำลิมมัต (Limmat) คือสิ่งที่ประกอบเป็นมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้ที่ใครได้ไปเยือนก็ประทับใจ ย่านเมืองเก่าเมืองซูริคเป็นเขตหมู่บ้านยุโรปโบราณที่อนุรักษ์ไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยย่านเมืองเก่านี้ตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำลิมมัตใจกลางเมืองซูริค ย่านเมืองเก่ายังถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ ของเมือง รวมถึงโบสถ์ที่มีชื่อเสียงหลายๆ แห่งของซูริคด้วย นอกจากนี้พื้นที่บางส่วนของย่านเมืองเก่าซูริคยังมีลักษณะเป็นเนินเขา มีวิวทิวทัศน์สวยงาม และเป็นจุดชมวิวที่ดีเยี่ยม
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 47°22'21.8"N 8°32'38.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ย่านเมืองเก่าซูริค ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1022
ลินเดนฮอฟ (Lindenhof)
ลินเดนฮอฟ (Lindenhof) ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าซูริค เป็นทั้งสวนสาธารณะและจุดชมวิวที่สวยงามของเมืองซูริคที่ชาวเมืองนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ จัตุรัสเขียวชอุ่มแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเนินเขาที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพมุมสูงอันสวยงามของแม่น้ำลิมมัตที่ไหลผ่านใจกลางเมืองซูริคได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ลินเดนฮอฟยังเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในย่านเก่าแก่และมีประวัติศาสตร์มากที่สุดในเมืองซูริค ในอดีตลินเดนฮอฟเคยเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวเซลท์ (Celt) ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในแถบตอนกลางของทวีปยุโรปด้วย ปัจจุบันลินเดนฮอฟเป็นทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ จุดนัดพบ และจุดชมวิวเมืองชั้นเยี่ยมจุดหนึ่งของเมืองซูริค นักท่องเที่ยวนิยมเดินขึ้นเนินเขาเพื่อไปปิกนิก นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ เล่นหมากรุกบนกระดานหมากรุกยักษ์ และชมทิวทัศน์กว้างไกลของตัวเมืองซูริคจากที่นี่
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 47°22'22.9"N 8°32'27.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ลินเดนฮอฟ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1023
ถนนบานโฮฟซตราเซอร์ (Bahnhofstrasse)
ถนนบานโฮฟซตราเซอร์ (Bahnhofstrasse) ถือเป็นหนึ่งในจุดที่ใครมาเที่ยวซูริคก็จะต้องเยือน บานโฮฟซตราเซอร์เป็นถนนการค้าเก่าแก่ความยาว 1.4 กิโลเมตร ทอดตัวผ่านศูนย์กลางของเมืองซูริค ย่านการค้าบริเวณนี้รุ่งเรืองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และได้มีการก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมสวยงามขึ้นหลายแห่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ตลอดสองข้างทางนั้นเรียงรายไปด้วยห้างสรรพสินค้าและร้านค้าร่วม 100 ร้านค้า มีร้านค้าแบรนด์เนมระดับโลกมากมาย จนได้ชื่อว่าเป็น “ถนนช้อปปิ้งที่แพงที่สุดในโลก” จุดเด่นของถนนบานโฮฟซตราเซอร์คือ เป็นแหล่งรวมนาฬิกาชั้นนำของโลก รวมถึงเป็นที่ตั้งของร้านเสื้อผ้า น้ำหอม เครื่องประดับ รองเท้า และร้านช็อกโกแลตชื่อดังหลายๆ ร้าน นอกจากบานโฮฟซตราเซอร์จะเป็นถนนสายช้อปปิ้งที่คึกคักเต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาแล้ว ยังเป็นถนนสำคัญที่เชื่อมต่อกับรถราง โดยมี Paradeplatz (หรือ Parade Square) เป็นจุดเปลี่ยนขบวนรถรางที่ผู้คนพลุกพล่าน แม้ว่าข้าวของต่างๆ บนถนนสายนี้จะมีราคาที่สูงลิบ แต่ก็ถือว่าคุ้มกับได้มาเดินชมบรรยากาศของถนนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ถนนช้อปปิ้งที่แพงที่สุดในโลก” แห่งนี้
เวลาเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง ร้านค้าทั่วไปเปิดเวลา 9.00 – 20.00 น. ส่วนร้านค้าใหญ่ๆ มักจะเปิดถึงเวลา 23.00 น.
พิกัด GPS : 47°22'17.7"N 8°32'18.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ถนนบานโฮฟซตราเซอร์ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1018
โบสถ์กรอสมุนสเตอร์ (Grossmünster / Grossmunster Church)
โบสถ์กรอสมุนสเตอร์ (Grossmünster / Grossmunster Church) เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่มีความงดงามด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบโรมาเนสก์นิกายโปรเตสแตนต์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลิมมัต ถือเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็น 1 ใน 4 โบสถ์หลักของเมืองซูริค อันได้แก่ โบสถ์ Fraumünster, โบสถ์ Prediger, โบสถ์ St. Peter’s และโบสถ์ Grossmünster แห่งนี้ ภายในโบสถ์นั้นงดงามด้วยบานประตูแกะสลัก ศิลปะยุคกลาง หน้าต่างประดับกระจกสีวิจิตรตระการตา ผลงานของสิกมาร์ โพลก์ (Sigmar Polke) จิตรกรและช่างภาพชาวเยอรมัน ตามตำนานกล่าวว่าโบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์โรมัน ชาร์เลอมาญ (Charlemagne) อย่างไรก็ตามโบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 12 ส่วนหอคอยสร้างเสร็จเมื่อปีค.ศ.1787 โบสถ์กรอสมุนสเตอร์มีจุดเด่นอยู่ที่หอคอยสูงคู่แฝด ด้านบนหอคอยยังเป็นจุดชมวิวเมืองในมุมสูงด้วย
เวลาเปิด – ปิด : เดือนมีนาคม – ตุลาคม : วันจันทร์ – วันเสาร์ เปิดเวลา 10.00 – 18.00 น. วันอาทิตย์เปิดเวลา 12.00 – 18.00 น. เดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ : วันจันทร์ – วันเสาร์ เปิดเวลา 10.00 – 17.00 น. วันอาทิตย์เปิดเวลา 12.00 – 18.00 น.
พิกัด GPS : 47°22'12.7"N 8°32'37.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โบสถ์กรอสมุนสเตอร์ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1019
โบสถ์ฟรอมุนสเตอร์ (Fraumünster)
โบสถ์ฟรอมุนสเตอร์ (Fraumünster) ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนน Münsterhof และถนน Stadthausquai ริมฝั่งแม่น้ำลิมมัต (Limmat) เป็นหนึ่งในสี่โบสถ์หลักของเมืองซูริคที่มีความสวยงาม โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอธิค (Gothic) กับยอดปลายแหลมสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โบสถ์นี้สร้างโดยกษัตริย์หลุยส์แห่งบาวาเรีย เพื่อพระราชธิดาของพระองค์ ภายหลังได้พระราชทานโบสถ์แห่งนี้ให้แก่คณะนักบุญเบเนดิกต์ (Benedictine) รอบนอกอาคารนั้นมีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ “กระจกชากาล” เป็นกระจกสีขนาดใหญ่ 5 บาน ออกแบบโดย มาร์ก ชากาล (Marc Chagall) จิตรกรชาวเบลารุส-ฝรั่งเศส ติดตั้งในปีค.ศ. 1970 ไม่เพียงแต่กระจกสีขนาดใหญ่ห้าบานนี้เท่านั้น เพราะทางด้านทิศเหนือของโบสถ์ยังมีกระจกสีขนาดใหญ่ถึง 9 เมตรที่มีความงดงามและน่าสนใจไม่แพ้กัน กระจกบานที่ว่านี้ออกแบบโดย ออกัสโต จาคีอาโคเม็ตติ (Augusto Giacometti) จิตกรชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่มีความโดดเด่นในแนวอาร์ตนูโวและสัญลักษณ์ และยังเป็นจิตรกรนามธรรมคนแรกๆ สำหรับงานกระจกสีเลยก็ว่าได้
เวลาเปิด – ปิด : เดือนมีนาคม – ตุลาคม : วันจันทร์ – วันเสาร์ เปิดเวลา 10.00 – 18.00 น. วันอาทิตย์เปิดเวลา 12.00 – 18.00 น. เดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ : วันจันทร์ – วันเสาร์ เปิดเวลา 10.00 – 17.00 น. วันอาทิตย์เปิด เวลา 12.00 – 18.00 น.
พิกัด GPS : 47°22'10.5"N 8°32'29.3"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โบสถ์ฟรอมุนสเตอร์ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1021
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Church)
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Church) ตั้งอยู่ติดกับเนินเขาลินเดนฮอฟ (Lindenhof Hill) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองซูริค และยังเป็น 1 ใน 4 โบสถ์หลักของเมืองด้วย โบสถ์แห่งนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบบาโรก (Baroque) ผสมกอธิค (Gothic) เป็นโบสถ์ที่งดงามทั้งด้านนอกและด้านในอาคาร จุดเด่นของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์คือหน้าปัดนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 8.7 เมตร นอกจากหอนาฬิกาแล้วโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ยังมีไปป์ออร์แกน (Pipe organ) จากเมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศส ที่ Mühleisen Manufacture d´orgues ได้นำเข้ามาไว้ในโบสถ์แห่งนี้เมื่อปีค.ศ.1974 ด้วย
เวลาเปิด – ปิด : วันจันทร์ – วันศุกร์ เปิดเวลา 8.00 – 18.00 น.
พิกัด GPS : 47°22'16.0"N 8°32'27.2"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1020
Day 9 : (Zurich - BKK)
*** เดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ***
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ
รวมที่เที่ยว 4 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โอเลซุนด์ ประเทศนอร์เวย์
นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางจากออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศ สู่เบอร์เกน (Bergen) ฟลอม (Flam) และเอลซุนด์ ( Alesund) เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เส้นทางสายนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับบ้านเมืองน่ารักๆ ทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของเทือกเขาสูงชัน น้ำตกที่ไหลเชี่ยว ฟยอร์ดที่ทอดยาว และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์
อ่านต่อรวมที่เที่ยว 3 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์
นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่แสนสวยงาม เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวมากมายที่พร้อมจะมอบความทรงจำสุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน การเดินทางจากออสโล (Oslo) สู่ทรุมเซอ (Tromso) และโลโฟเทน (Lofoten) นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองหลวงที่ทันสมัย ไปจนถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของอาร์กติก และหมู่เกาะที่สวยงามราวภาพวาด
อ่านต่อหมู่บ้านซอมมารอย เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์
หมู่บ้านซอมมารอย (Sommarøy) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตะวันตกของเมืองทรุมเซอ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์ อยู่ห่างจากเมืองทรุมเซอไปทางตะวันตกประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีหาดทรายขาวและทิวทัศน์สวยงาม
อ่านต่อมหาวิหารอาร์กติก เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์
มหาวิหารอาร์กติก (Arctic Cathedral) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดของเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และความหมายอันลึกซึ้ง ทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนทรุมเซอ
อ่านต่อมหาวิหารทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์
มหาวิหารทรุมเซอ (Tromso Cathedral) หรือที่รู้จักในชื่อ "Tromsdalen Church" เป็นโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ และการออกแบบตกแต่งภายในอันงดงาม
อ่านต่อท่าเรือทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์
ท่าเรือทรุมเซอ (Port of Tromsø) ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ท่าเรือแห่งนี้เป็นมากกว่าแค่จุดขึ้นลงเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของเมืองทรุมเซอ และเป็นประตูสู่ดินแดนอาร์กติกที่น่าตื่นตาตื่นใจ
อ่านต่อกระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์
กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน (Fjellheisen Cable Car) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ การนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาสโตรสไตเนิน (Storsteinen Mountain) จะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับวิวเมืองทรุมเซอและฟยอร์ดอันงดงามแบบ 360 องศา
อ่านต่อหมู่บ้านแฮมนอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์
หมู่บ้านแฮมนอย (Hamnoy) ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) มีลักษณะโดดเด่นคือ “โรบูเอ้” สีแดง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่บนโขดหิน และมีฉากหลังเป็นภูเขา เป็นภาพที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด ของที่ระลึก และสื่อประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวต่างๆ
อ่านต่อหมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์
หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด (Nusfjord) คือหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านใต้ของเกาะ Flakstadøya ในอ่าวเวสฟยอร์เดน (Vestfjord) เขตเทศบาล Flakstad ของเมือง Lofoten ประเทศนอร์เวย์ หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ และอาจจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลกก็เป็นได้
อ่านต่อหมู่บ้านซาคริซอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์
หมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาโอลสตินด์ (Olstind) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) และอีกหนึ่งลักษณะที่โดดเด่นคือหมู่บ้านนี้คือ “โรบูเอ้” สีเหลือง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่ตามริมฝั่งฟยอร์ด
อ่านต่อ