ภูลมโล (Phu Lom Lo) เป็นจุดชมซากุระเมืองไทยที่ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งซากุระที่ว่านี้ก็คือดอกนางพญาเสือโคร่งนั่นเอง โดยบนภูลมโลมีต้นนางพญาเสือโคร่งกระจายอยู่กว่า 1,000 ไร่ ซึ่งดอกนางพญาเสือโคร่งเหล่านี้จะบานสะพรั่งจนกลายเป็นภูเขาสีชมพูในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี แต่จะบานช่วงวันไหนนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของปีนั้นๆ จึงต้องเช็คข้อมูลกับทางอุทยานก่อนเดินทาง

ภูป่าเปาะ (Phu Pa Poh) ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมฟูจิเมืองเลย ด้วยทิวทัศน์ที่มองเห็น “ภูหอ” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิของญี่ปุ่นนั่นเอง ภูป่าเปาะมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 910 เมตร ด้านบนสามารถเห็นวิวได้รอบด้าน นอกจากภูหอแล้วยังเห็นภูเขาอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ เช่น ภูหินร่องกล้า ภูหลวง ภูกระดึง สวนหินผางาม และเขาค้อ เป็นต้น และในช่วงฤดูหนาวยังบริเวณนี้ยังเป็นจุดชมทะเลหมอกได้แบบ 360 องศาอีกด้วย

ภูบักได (Phu Bak Dai) ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จุดเด่นของภูบักไดอยู่ที่โขดหิน ซึ่งบนภูนั้นมีก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกๆมากมาย แต่ที่เป็นไฮไลต์ก็คือ “หินห้อยขา” หรือ “หินหลอกลวง” ที่มีลักษณะเป็นหินก้อนใหญ่ยื่นออกไปจากหน้าผา แต่อันที่จริงแล้วโขดหินนี้มีความสูงจากพื้นด้านล่างบนผาเพียง 1-2 เมตรเท่านั้น ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพกันบนโขดหินโดยใช้มุมหลอกเสมือนว่ายืนบนหน้าผาสูงชัน นอกจากนี้ยังนิยมมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก และทะเลหมอกในช่วงฤดูหนาวอีกด้วย

ภูทอก (Phu Thok) เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเลยที่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาตินิยมขึ้นไปชมความสวยงามของวิวทะเลหมอกฟูหนาปกคลุมพื้นที่ด้านล่างจนมิด ดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ารับวันใหม่ สูดอากาศสดชื่นพร้อมถ่ายภาพกลับมาเป็นที่ระลึก โดยทะเลหมอกบริเวณนี้จะมีในช่วงหน้าหนาวของทุกปี และในช่วงสายๆ ที่หมอกจางไปจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างของฝั่งไทยและฝั่งลาวได้อีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน วัดโพนชัย (Phi Ta Khon Museum at Wat Phon Chai) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงความเป็นมาของประเพณีผีตาโขนซึ่งเป็นประเพณีท้องถิ่นของจังหวัดเลยที่มีมาอย่างช้านาน นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชมประวัติความเป็นมาของผีตาโขน รวมถึงหน้ากากผีตาโขน และวิธีการทำหน้ากากในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีโซนจัดแสดงประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นอื่นๆ และร้านขายของที่ระลึกให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย

พระธาตุศรีสองรัก (Phra That Sri Song Rak) เป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุเจดีย์ก่ออิฐถือปูนสีขาวที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในความสัมพันธ์อันดีระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงศรีสัตนาคนหุตแห่งเวียงจันทน์ การมานมัสการพระธาตุแห่งนี้จึงมีข้อห้ามในการใส่เสื้อผ้าสีแดง รวมถึงการนำสิ่งของสีแดงขึ้นบูชาพระธาตุ เพราะสีแดงเปรียบเสมือนเลือดและความรุนแรง โดยจะมีการจัดงานสมโภชพระธาตุศรีสองรักขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี