เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ โดยคลิก "การตั้งค่าคุกกี้"
มหาวิหารโคโลญ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี
Cologne Cathedral, Cologne, Germany
มหาวิหารโคโลญและสะพานโฮเอินซอลเลิร์น แลนด์มาร์กแห่งเมืองโคโลญ
มหาวิหารโคโลญ (Cologne Cathedral / ชื่อภาษาเยอรมันคือ Kölner Dom) ตั้งอยู่กลางเมืองโคโลญ ริมแม่น้ำไรน์ (Rhine River) เป็นโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิก สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิก โดดเด่นด้วยหอคอยคู่ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่ด้วยความสูง 157.38 เมตร ตัดกับเส้นขอบฟ้าที่เป็นฉากหลัง จัดเป็นแลนด์มาร์กของเมืองโคโลญคู่กับสะพานโฮเอินซอลเลิร์น (Hohenzollern Bridge) ที่ทอดข้ามแม่น้ำไรน์ นอกจากนี้มหาวิหารโคโลญยังเป็นที่ประดิษฐานหีบสามกษัตริย์ จึงเป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่สำคัญที่สุดในยุโรป อีกทั้งยังเป็นสถานที่เก็บรวมรวมทรัพย์สมบัติทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย และมีจุดชมวิวพาโนรามาบนหอคอยสูงอันน่าตื่นตาตื่นใจ มหาวิหารโคโลญได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) World Heritage Sites ในปี ค.ศ. 1996
แผนที่ตั้ง มหาวิหารโคโลญ (Cologne Cathedral) เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี
ประวัติ
แต่เดิมนั้นพื้นที่บริเวณมหาวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของชาวคริสเตียนในยุคโรมันมาก่อน แต่หลังจากที่พระอัครสังฆราชไรนัลด์แห่งดัสเซิล (Archbishop Rainald von Dassel) ได้นำหีบสามกษัตริย์ (the relics of the Three Wise Men) ซึ่งเป็นหีบศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์จากเมืองมิลานมาประดิษฐานยังเมืองโคโลญในปีค.ศ. 1164 โบสถ์แห่งนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่สำคัญที่สุดในยุโรป และจำเป็นต้องได้รับการสร้างขึ้นใหม่เพื่อรองรับจำนวนผู้มาเยือนที่มากขึ้น
ผังอาคารของมหาวิหารแบบโกธิกได้รับการออกแบบโดยนายช่างเจอร์ราร์ดแห่งเมืองเรล (Master mason Gerhard of Reil) ซึ่งเป็นผู้ที่ออกแบบโบสถ์ใหม่ให้กับมหาวิหารในกรุงปารีส เมืองสตราสบูร์ก และเมืองอาเมียง โดยได้มีพิธีลงเสาสร้างโบสถ์แบบโกธิกนี้โดยพระอัครสังฆราชคอนราดแห่งโฮชสตาเดน (Archbishop Konrad von Hochstaden) ในวันเฉลิมฉลองพระแม่มารีขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1248
อย่างไรก็ตามการก่อสร้างยุติลงในศตวรรษที่ 16 เนื่องจากขาดงบประมาณ และสถาปัตยกรรมโกธิคไม่ได้รับความสนใจในช่วงนั้น การก่อสร้างจึงถูกระงับไปเป็นระยะเวลาเกือบ 300 ปี
ต่อมาในศตวรรษที่19 ผู้คนกลับมาให้ความสนใจในประวัติศาสตร์ยุคกลางและสถาปัตยกรรมโกธิกอีกครั้ง โดยพระเจ้าเฟร็ดดริค วิลเลียมที่สี่ (Frederick William IV) กษัตริย์แห่งปรัสเซียได้มีพระราชดำริโปรดเกล้าให้ก่อตั้งสมาคมการสร้างมหาวิหารกลาง (Central Cathedral Building Society) ซึ่งมีภารกิจหลักคือการรวบรวมเงินบริจาคเพื่อการก่อสร้างมหาวิหารให้แล้วเสร็จ หนึ่งปีนับจากนั้น มหาวิหารโคโลญกลับมาเริ่มการก่อสร้างอีกครั้ง และสร้างแล้วเสร็จในปีค.ศ.1880 ซึ่งใช้เวลาโดยรวมถึง 632 ปีนับตั้งแต่แรกสร้าง โดยมีการเฉลิมฉลองให้กับมหาวิหารที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 15 ตุลาคม
ถึงแม้ว่ามหาวิหารโคโลญจะได้รับความเสียหายจากระเบิดอยู่หลายครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ยังสามารถตั้งตระหง่านอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม มหาวิหารก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมอยู่หลายปีจากความเสียหายในช่วงนั้น แต่นอกเหนือจากความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยังมีความเสียหายที่เกิดจากสภาพอากาศรวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ จึงต้องได้รับการดูแลรักษาอยู่เสมอ จึงส่งผลให้มหาวิหารโคโลญมีบริเวณที่ถูกบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอ
ปัจจุบันมหาวิหารโคโลญมีโครงสร้างที่สูงเป็นอันดับที่สองของเมืองโคโลญ รองจากหอโทรคมนาคม สำหรับหอคอยคู่นั้น แต่ละหลังถูกเรียกโดยใช้ทิศแยกเพื่อความชัดเจน โดยเรียกว่าหอคอยทิศเหนือ และหอคอยทิศใต้ ซึ่งหอคอยทิศเหนือจะมีความสูงกว่าหอคอยทิศใต้ประมาณ 7 เซนติเมตร และในส่วนของจุดชมวิวด้านบนจะอยู่บนหอคอยทิศใต้
บริเวณด้านหน้าหอคอยคู่ของมหาวิหารโคโลญ
ประติมากรรมรูปสลักบริเวณทางเข้ามหาวิหาร
ภายในมหาวิหารโคโลญ บริเวณที่นั่งประกอบพิธีทางศาสนา
บริเวณแท่นประกอบพิธีทางศาสนาภายในมหาวิหารโคโลญ
ประติมากรรมพระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขน ด้านหลังเป็นหน้าต่างที่ตกแต่งด้วยกระจกโมเสกถ่ายทอดความงดงามของศิลปะและเรื่องราวทางศาสนาคริสต์
หีบสามกษัตริย์ที่ประดิษฐานอยู่บนแท่นยกสูงภายในมหาวิหารโคโลญ
ของตกแต่งในรูปแบบศิลปะนีโอโกธิกในช่วงปีค.ศ. 1892
ประติมากรรมพระเยซูถูกตรึงกางเขนอันเก่าแก่ คาดว่าทำขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1200 (รูปซ้าย) ผลงานประติมากรรมถ่ายทอดเรื่องราวตอนนำร่างพระเยซูลงจากกางเขน (รูปขวา)
ถ้าเราหันหน้าเข้าหามหาวิหารโคโลญ หอคอยด้านซ้ายมือของเราคือหอคอยทิศเหนือ ด้านขวามือของเราคือหอทิศใต้ (รูปซ้าย) ความสวยงามของมหาวิหารโคโลญในยามค่ำคืนจากไฟประดับ (รูปขวา)
บริเวณด้านข้างของมหาวิหารโคโลญ
บริเวณด้านหลังของมหาวิหารโคโลญ
การเดินทางจากสนามบินโคโลญบอนน์ (Cologne Bonn Airport) ไปยังสถานีรถไฟกลางโคโลญ (Cologne Central Station)
- รถยนต์ (Car) จาก Cologne Bonn Airport ไปยัง Cologne Central Station มีระยะทางประมาณ 18.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 19 นาที
- รถประจำทาง (Bus) จาก Cologne Bonn Airport ให้ขึ้นรถประจำทางสาย 161 ที่สถานีรถประจำทางบริเวณสนามบิน ไปลงยัง Cologne Central Station มีระยะทางประมาณ 18.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 19 นาที
- รถไฟ (Train) จาก Cologne Bonn Airport ให้ขึ้นรถไฟสายสีเขียวที่สถานี Köln/Bonn Flughafen ภายในสนามบิน จากนั้นลงที่สถานี Cologne Central Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
หมายเหตุ ชื่อสถานีรถไฟกลางโคโลญนั้นมีชื่อเรียกหลากหลาย โดยชื่อที่เป็นทางการและนิยมเรียกกัน ได้แก่
1. Köln Hauptbahnhof เป็นชื่อทางการในภาษาเยอรมัน
2. Cologne Central Station / Cologne Main Railway Station เป็นชื่อทางการในภาษาอังกฤษ
3. Dom Hauptbahnhof หมายถึง สถานีโบสถ์ เพราะสถานีติดกับมหาวิหารโคโลญ
การเดินทางจากสถานีรถไฟกลางโคโลญ (Cologne Central Station)ไปยังมหาวิหารโคโลญ (Cologne Cathedral)
- เดิน (Footpath) จาก Cologne Central Station ไปยัง Cologne Cathedral มีระยะทางประมาณ 46 เมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 นาที
เวลาทำการเปิด-ปิด
เปิดทุกวัน วันจันทร์ ถึง วันอาทิตย์ เวลา 06.00 น. - 21.00 น.
บริเวณมหาวิหารโคโลญ
- เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนเมษายน 06.00 น. - 19.30 น.
- เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนตุลาคม 06.00 น. - 21.00 น.
บริเวณจุดชมวิวบนหอคอย
- เดือนมกราคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 09.00 น. - 16.00 น.
- เดือนมีนาคม ถึง เดือนเมษายน 09.00 น. - 17.00 น.
- เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนกันยายน 09.00 น. - 18.00 น.
- เดือนตุลาคม 09.00 น. - 17.00 น.
- เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนธันวาคม 09.00 น. - 16.00 น.
ความสวยงามของมหาวิหารโคโลญและสะพานโฮเอินซอลเลิร์นเมื่อมองจากโรงแรมริมแม่น้ำฝั่งตรงข้าม
อัตราค่าเข้าชม
บริเวณรอบนอกและด้านในมหาวิหารโคโลญ ไม่เสียค่าเข้าชม
บริเวณจุดชมวิวบนหอคอย
- ตั๋วผู้ใหญ่ ราคา 4 Euro
- ตั๋วครอบครัว (ผู้ใหญ่ 2 คน และเด็ก 1 คน) ราคา 8 Euro
- ตั๋วนักเรียน/ นักศึกษา/ ผู้พิการ ราคา 2 Euro
- ตั๋วรวมเที่ยวชมห้องเก็บสมบัติและชมวิวบนหอคอยสำหรับผู้ใหญ่ ราคา 8 Euro
- ตั๋วรวมเที่ยวชมห้องเก็บสมบัติและชมวิวบนหอคอยสำหรับนักเรียน/ นักศึกษา/ ผู้พิการ ราคา 4 Euro
- ตั๋วรวมเที่ยวชมห้องเก็บสมบัติและชมวิวบนหอคอยสำหรับครอบครัว ราคา 16 Euro
เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว
ตลอดทั้งปี
ความสวยงามของมหาวิหารโคโลญและสะพานโฮเอินซอลเลิร์นในยามราตรี จากด้านบนหอชมเมืองโคโลญไทรแองเกิล
นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยว Cologne Cathedral สามารถศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
มหาวิหารโคโลญ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี
(Cologne Cathedral, Cologne, Germany)
ระดับความนิยม :
อัตราค่าเข้าชม : บริเวณรอบนอกและด้านในมหาวิหารไม่เสียค่าเข้าชม
บริเวณจุดชมวิวบนหอคอย มีค่าเข้าชมดังนี้
- ตั๋วผู้ใหญ่ ราคา 4 Euro
- ตั๋วครอบครัว (ผู้ใหญ่ 2 คน และเด็ก 1 คน) ราคา 8 Euro
- ตั๋วนักเรียน/ นักศึกษา/ ผู้พิการ ราคา 2 Euro
- ตั๋วรวมเที่ยวชมห้องเก็บสมบัติและชมวิวบนหอคอยสำหรับผู้ใหญ่ ราคา 8 Euro
- ตั๋วรวมเที่ยวชมห้องเก็บสมบัติและชมวิวบนหอคอย สำหรับนักเรียน/ นักศึกษา/ ผู้พิการ ราคา 4 Euro
- ตั๋วรวมเที่ยวชมห้องเก็บสมบัติและชมวิวบนหอคอยสำหรับครอบครัว ราคา 16 Euro
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน วันจันทร์ ถึง วันอาทิตย์ 06.00 น. - 21.00 น.
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว : ตลอดทั้งปี
สถานที่ตั้ง : เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี
โทรศัพท์ : (+49)221 179 40-100
เว็บไซต์ : https://www.koelner-dom.de/index.php?id=19167&L=1
ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com/th/de/germany-weather
เว็บไซต์ทางการของเมืองโคโลญ https://www.cologne.de
เว็บไซต์ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการของเมืองโคโลญ https://www.cologne-tourism.com/
หมู่บ้านแฮมนอย (Hamnoy) ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) มีลักษณะโดดเด่นคือ “โรบูเอ้” สีแดง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่บนโขดหิน และมีฉากหลังเป็นภูเขา เป็นภาพที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด ของที่ระลึก และสื่อประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวต่างๆ
อ่านต่อหมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด (Nusfjord) คือหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านใต้ของเกาะ Flakstadøya ในอ่าวเวสฟยอร์เดน (Vestfjord) เขตเทศบาล Flakstad ของเมือง Lofoten ประเทศนอร์เวย์ หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ และอาจจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลกก็เป็นได้
อ่านต่อหมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาโอลสตินด์ (Olstind) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) และอีกหนึ่งลักษณะที่โดดเด่นคือหมู่บ้านนี้คือ “โรบูเอ้” สีเหลือง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่ตามริมฝั่งฟยอร์ด
อ่านต่อนอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางจากออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศ สู่เบอร์เกน (Bergen) ฟลอม (Flam) และเอลซุนด์ ( Alesund) เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เส้นทางสายนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับบ้านเมืองน่ารักๆ ทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของเทือกเขาสูงชัน น้ำตกที่ไหลเชี่ยว ฟยอร์ดที่ทอดยาว และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์
อ่านต่อนอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่แสนสวยงาม เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวมากมายที่พร้อมจะมอบความทรงจำสุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน การเดินทางจากออสโล (Oslo) สู่ทรุมเซอ (Tromso) และโลโฟเทน (Lofoten) นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองหลวงที่ทันสมัย ไปจนถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของอาร์กติก และหมู่เกาะที่สวยงามราวภาพวาด
อ่านต่อหมู่บ้านซอมมารอย (Sommarøy) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตะวันตกของเมืองทรุมเซอ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์ อยู่ห่างจากเมืองทรุมเซอไปทางตะวันตกประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีหาดทรายขาวและทิวทัศน์สวยงาม
อ่านต่อมหาวิหารอาร์กติก (Arctic Cathedral) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดของเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และความหมายอันลึกซึ้ง ทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนทรุมเซอ
อ่านต่อมหาวิหารทรุมเซอ (Tromso Cathedral) หรือที่รู้จักในชื่อ "Tromsdalen Church" เป็นโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ และการออกแบบตกแต่งภายในอันงดงาม
อ่านต่อท่าเรือทรุมเซอ (Port of Tromsø) ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ท่าเรือแห่งนี้เป็นมากกว่าแค่จุดขึ้นลงเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของเมืองทรุมเซอ และเป็นประตูสู่ดินแดนอาร์กติกที่น่าตื่นตาตื่นใจ
อ่านต่อกระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน (Fjellheisen Cable Car) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ การนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาสโตรสไตเนิน (Storsteinen Mountain) จะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับวิวเมืองทรุมเซอและฟยอร์ดอันงดงามแบบ 360 องศา
อ่านต่อหมู่บ้านแฮมนอย (Hamnoy) ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) มีลักษณะโดดเด่นคือ “โรบูเอ้” สีแดง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่บนโขดหิน และมีฉากหลังเป็นภูเขา เป็นภาพที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด ของที่ระลึก และสื่อประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวต่างๆ
อ่านต่อหมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด (Nusfjord) คือหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านใต้ของเกาะ Flakstadøya ในอ่าวเวสฟยอร์เดน (Vestfjord) เขตเทศบาล Flakstad ของเมือง Lofoten ประเทศนอร์เวย์ หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ และอาจจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลกก็เป็นได้
อ่านต่อหมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาโอลสตินด์ (Olstind) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) และอีกหนึ่งลักษณะที่โดดเด่นคือหมู่บ้านนี้คือ “โรบูเอ้” สีเหลือง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่ตามริมฝั่งฟยอร์ด
อ่านต่อนอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางจากออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศ สู่เบอร์เกน (Bergen) ฟลอม (Flam) และเอลซุนด์ ( Alesund) เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เส้นทางสายนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับบ้านเมืองน่ารักๆ ทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของเทือกเขาสูงชัน น้ำตกที่ไหลเชี่ยว ฟยอร์ดที่ทอดยาว และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์
อ่านต่อนอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่แสนสวยงาม เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวมากมายที่พร้อมจะมอบความทรงจำสุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน การเดินทางจากออสโล (Oslo) สู่ทรุมเซอ (Tromso) และโลโฟเทน (Lofoten) นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองหลวงที่ทันสมัย ไปจนถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของอาร์กติก และหมู่เกาะที่สวยงามราวภาพวาด
อ่านต่อหมู่บ้านซอมมารอย (Sommarøy) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตะวันตกของเมืองทรุมเซอ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์ อยู่ห่างจากเมืองทรุมเซอไปทางตะวันตกประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีหาดทรายขาวและทิวทัศน์สวยงาม
อ่านต่อ