พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเมืองโคโลญ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี

  • อ่าน (3,537)
  • By Webmaster
  • 17:02:48 | 12 ธ.ค. 2562

พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเมืองโคโลญ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี

Cologne Chocolate Museum, Cologne, Germany


บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเมืองโคโลญ

           พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเมืองโคโลญ (Cologne Chocolate Museum / ชื่อภาษาเยอรมันคือ Schokoladenmuseum Köln) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งเมืองโคโลญ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์ (Rhine River) บริเวณท่าเรือไรโน (Rheinau harbour) ไม่ไกลจากมหาวิหารโคโลญ พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติของช็อกโกแลตตั้งแต่แรกเริ่มจากการปลูกเมล็ดโกโก้ไปจนถึงกระบวนการผลิตช็อกโกแลตในโรงงาน รวมถึงวัฒนธรรมและของสะสมของแต่ละท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับช็อกโกแลตตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และที่เป็นจุดเด่นที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือ น้ำพุช็อคโกแลตความสูงราวสามเมตรนอกจากนี้ยังมีส่วนของคาเฟ่และร้านขายช็อกโกแลต ให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองรสชาติของช็อคโกแลตและขนมที่ทำจากช็อคโกแลตอันแสนอร่อยอีกด้วย


แผนที่ตั้ง พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเมืองโคโลญ (Cologne Chocolate Museum) เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี

ประวัติ

           แฮนส์ อิมฮอฟฟ์ (Hans Imhoff) ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต เขามีความหลงใหลในการผลิตช็อกโกแลต และมีความฝันว่าอยากจะสร้างพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตที่มีน้ำพุช็อกโกแลตไหลริน และแล้วฝันของเขาก็เป็นจริง พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตได้เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1993 หลังจากการก่อสร้างมาเป็นระยะเวลา 13 เดือน นับเป็นเกียรติแห่งประวัติศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์เยอรมนีที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้

           ด้านในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติความเป็นมาของเมล็ดโกโก้และช็อกโกแลตตั้งแต่ในอดีตราวห้าพันปีก่อนจนถึงการผลิตและแปรรูปช็อกโกแลตในปัจจุบันบนเนื้อที่ราว 4,000 ตารางเมตร โดยในส่วนจัดแสดงประกอบไปด้วย สวนจำลองพื้นที่ป่าในเขตร้อนชื้นซึ่งเป็นต้นกำเนิดของต้นโกโก้ ส่วนจัดแสดงวัฒนธรรมในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของโคลัมเบียในอเมริกากลาง ชุดเครื่องลายคราม เครื่องเงิน และเครื่องจักรจากยุคอุตสาหกรรม ขั้นตอนการผลิตช็อกโกแลตที่นักท่องเที่ยวจะได้รู้วิธีการขึ้นรูปช็อกโกแลตทั้งแบบใช้เครื่องจักรและฝีมือคน

           จุดเด่นที่สุดของพิพิธภัณฑ์คือน้ำพุช็อกโกแลตความสูงสามเมตรที่มีช็อกโกแลตยี่ห้อลินด์ (Lindt) อันโด่งดังไหลรินลงมาดั่งความฝันที่เป็นจริงของแฮนส์ อิมฮอฟฟ์ ปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ราวหกแสนคนต่อปี นับเป็นสถาบันทางวัฒนธรรมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในเมืองโคโลญ


น้ำพุช็อกโกแลตเป็นแลนด์มาร์กของพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต


บริเวณสวนจำลองพื้นที่ป่าในเขตร้อนชื้น


ต้นไม้ในเขตป่าร้อนชื้นที่ปลูกอยู่ในบริเวณสวนจำลอง


บริเวณส่วนจัดแสดงการแปรรูปจากเมล็ดโกโก้เป็นช็อกโกแลต


เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตช็อกโกแลต 


กระบวนการทำงานของเครื่องจักรและแม่พิมพ์ช็อกโกแลต


ส่วนจัดแสดงร้านขายช็อกโกแลตในช่วงต้นศตวรรษที่ 19


ด้านในร้านขายช็อกโกแลตในช่วงต้นศตวรรษที่ 19


บริเวณส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมาของช็อกโกแลตยี่ห้อดัง


ด้านข้างโถงทางเดินจัดแสดงภาพเขียนและโปสเตอร์ในอดีต


ช็อกโกแลตที่ผลิตออกมาเป็นสินค้ายี่ห้อดัง
 

การเดินทางจากสนามบินโคโลญบอนน์ (Cologne Bonn Airport) ไปยังสถานีรถไฟกลางโคโลญ (Cologne Central Station)

             - รถยนต์ (Car) จาก Cologne Bonn Airport ไปยัง Cologne Central Station มีระยะทางประมาณ 18.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 19 นาที

             - รถประจำทาง (Bus) จาก Cologne Bonn Airport ให้ขึ้นรถประจำทางสาย 161 ที่สถานีรถประจำทางบริเวณสนามบิน ไปลงยัง Cologne Central Station มีระยะทางประมาณ 18.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 19 นาที

             - รถไฟ (Train) จาก Cologne Bonn Airport ให้ขึ้นรถไฟสายสีเขียวที่สถานี Köln/Bonn Flughafen ภายในสนามบิน จากนั้นลงที่สถานี Cologne Central Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที

             หมายเหตุ ชื่อสถานีรถไฟกลางโคโลญนั้นมีชื่อเรียกหลากหลาย โดยชื่อที่เป็นทางการและนิยมเรียกกัน ได้แก่

                    1. Köln Hauptbahnhof เป็นชื่อทางการในภาษาเยอรมัน

                    2. Cologne Central Station / Cologne Main Railway Station เป็นชื่อทางการในภาษาอังกฤษ

                    3. Dom Hauptbahnhof หมายถึง สถานีโบสถ์ เพราะสถานีติดกับมหาวิหารโคโลญ

การเดินทางจากสถานีรถไฟกลางโคโลญ (Cologne Central Station)ไปยัง พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเมืองโคโลญ (Cologne Chocolate Museum)

             - รถยนต์ (Car) จาก Cologne Central Station ไปยัง Cologne Chocolate Museum มีระยะทางประมาณ 1.9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 นาที

             - รถประจำทาง (Bus) จาก Cologne Central Station ไปยัง Cologne Chocolate Museum ให้ขึ้นรถประจำทางสาย 133 ไปลงยังป้าย Köln Schokoladenmuseum มีระยะทางประมาณ 1.9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 นาที

             - รถไฟ (Train) จาก Cologne Central Station ให้ขึ้นรถไฟสายสีม่วง ลงสถานี Heumarkt และเดินต่อไปยัง ไปยัง Cologne Chocolate Museum ประมาณ 600 เมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที

             - เดิน (Footpath) จาก Cologne Central Station ไปยัง Cologne Chocolate Museum มีระยะทางประมาณ 1.3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 17 นาที

เวลาทำการเปิด-ปิด

           ตามปกติจะเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10:00 น. – 18:00 น.

           แต่ในช่วงเดือนมกราคม - เดือนมีนาคม และเดือนพฤศจิกายน จะปิดทุกวันจันทร์

           ในช่วงคริสต์มาสจะมีเวลาเปิด - ปิด ดังนี้

                24 - 25 ธันวาคม พิพิธภัณฑ์ปิด

                26 ธันวาคม เวลา 10:00 น. – 18:00 น.

                31 ธันวาคม เวลา 10:00 น. – 17:00 น.

 

อัตราค่าเข้าชม

           ผู้ใหญ่ : วันธรรมดา 12.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 13.50 Euro

           เด็กนักเรียนอายุไม่เกิน 16 ปี : วันธรรมดา 7.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 8.00 Euro

           เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี : ไม่เสียค่าเข้าชม

           นักศึกษา : วันธรรมดา 9.00 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 10.00 Euro

           ผู้สูงอายุ อายุ 65 ปีขึ้นไป : วันธรรมดา 11.00 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 12.00 Euro

           นักท่องเที่ยวทุพพลภาพ : วันธรรมดา 7.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 8.00 Euro

           ตั๋วครอบครัว : วันธรรมดา 31.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 34.00 Euro (ผู้ใหญ่ 2 คน กับเด็กอายุไม่เกิน 16 ปี)


น้ำพุช็อกโกแลตตั้งอยู่บริเวณกำแพงกระจกที่มองเห็นแม่น้ำไรน์

เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว

           ตลอดทั้งปี


พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ ต้องเดินข้ามสะพาน Drehbridge ไป


           นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยว Cologne Chocolate Museum สามารถศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่

                       พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตเมืองโคโลญ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี

                       (Cologne Chocolate Museum, Cologne, Germany)

                       ระดับความนิยม : 

                       อัตราค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ : วันธรรมดา 12.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 13.50 Euro

                                               เด็กนักเรียนอายุไม่เกิน 16 ปี : วันธรรมดา 7.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 8.00 Euro

                                               เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี : ไม่เสียค่าเข้าชม

                                               นักศึกษา : วันธรรมดา 9.00 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 10.00 Euro

                                               ผู้สูงอายุ อายุ 65 ปีขึ้นไป : วันธรรมดา 11.00 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 12.00 Euro

                                               นักท่องเที่ยวทุพพลภาพ : วันธรรมดา 7.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 8.00 Euro

                                               ตั๋วครอบครัว (ผู้ใหญ่ 2 คน กับเด็กอายุไม่เกิน 16 ปี) : วันธรรมดา 31.50 Euro/ วันหยุดสุดสัปดาห์ 34.00 Euro

                        วลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน วันจันทร์ ถึง วันอาทิตย์

                        ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว : ตลอดทั้งปี

                        สถานที่ตั้ง : เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี

                        โทรศัพท์ : (+49) 221 931888 - 0

                        ว็บไซต์ : https://www.schokoladenmuseum.de/en/      

                        ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com/th/de/germany-weather

                                         เว็บไซต์ทางการของเมืองโคโลญ https://www.cologne.de

                                         เว็บไซต์ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการของเมืองโคโลญ https://www.cologne-tourism.com/ 

 

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

7 วันขับรถเที่ยวตะลุยแลปแลนด์

แลปแลนด์ (Lapland) ภูมิภาคซึ่งตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศฟินแลนด์ (Finland) นับเป็นจุดหมายหลักสำหรับนั่งท่องเที่ยวจากทั่วโลกรวมถึงพวกเราด้วยที่อยากจะเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์ท่องเที่ยวฤดูหนาวแบบขั้วโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นการพักอยู่ในที่พักแบบกระท่อมหลังคากระจกใสท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมของป่าสนและทุ่งหิมะขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เฝ้ารอชมปรากฏการณ์แสงเหนือวาดลีลาอันสวยงามเหนือท้องฟ้าในยามค่ำคืน และทำกิจกรรมฤดูหนาวสนุกๆ อย่างการนั่งเลื่อนที่วิ่งลากโดยสุนัขฮัสกี้จอมพลัง ขับสโนวโมบิลออกไปตะลุยตกปลาน้ำแข็ง รวมถึงนั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์ เที่ยวปราสาทหิมะ ไปเที่ยวหมู่บ้านซานต้าและชมเส้นวงกลมละติจูดอาร์กติก (Arctic Circle) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเส้นสำคัญของโลกที่ลากผ่านเมืองโรวาเนียมี

อ่านต่อ

14 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดเนฟเชียร์ ประเทศตุรกี

หากเอ่ยถึงการท่องเที่ยวประเทศตุรกี เชื่อว่าหนึ่งในภาพที่หลายๆ คนมักจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ คือภาพของบอลลูนลมร้อนหลากสีสันที่ลอยละล่องอยู่เต็มน่านฟ้า เหนือภูมิประเทศแปลกตาด้วยกลุ่มหินรูปทรงต่างๆ และสถานที่ที่ว่านี้ก็คือเนฟเชียร์ จังหวัดทางภาคกลางของตุรกีที่มีเมืองดังอย่างคัปปาโดเชียเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว ในบทความนี้ Palanla ได้รวบรวมเอา 14 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดเนฟเชียร์มาให้ออกเดินทางสำรวจไปพร้อมๆ กัน

อ่านต่อ

8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดอิซเมียร์ ประเทศตุรกี

อิซเมียร์ (Izmir) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศตุรกี และเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากอิสตันบูล ซึ่งไม่เพียงแต่ความเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเท่านั้น ทว่าอิซเมียร์ยังรุ่มรวยไปด้วยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เชื่อว่า 8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอิซเมียร์ที่ Palanla ได้คัดสรรมาให้ได้ชมในบทความนี้จะทำให้คุณรู้จักอิซเมียร์มากขึ้นกว่าที่เคยอย่างแน่นอน

อ่านต่อ

7 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดเดนิซลี ประเทศตุรกี

เดนิซลี (Denizli) จังหวัดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกีที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งให้สำรวจ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติมรดกโลกชื่อดังอย่างปามุคคาเล่ หรือเมืองโบราณเฮียราโพลิส และเมืองโบราณเลาดิเซียซึ่งเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในสมัยโรมันและไบแซนไทน์มาก่อน Palanla ได้รวบรวม 7 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเดนิซลีมาให้ได้ชมกัน

อ่านต่อ

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศไอร์แลนด์เหนือ

ประเทศไอร์แลนด์เหนือตั้งอยู่ในทวีปยุโรปและเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์เหนือมีชื่อเสียงทางด้านภูมิประเทศที่สวยงามและทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันน่าหลงใหล อีกทั้งยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีพิพิธภัณฑ์และสถาปัตยกรรมต่างๆ ให้เที่ยวชมมากมายโดยมีสถานที่ท่องเที่ยวกระจายตัวอยู่ตามเมืองต่างๆ อย่างเช่นเมืองเบลฟาสต์ เมืองลอนดอนเดอร์รี่ และเมืองแถบชายฝั่งทะเล ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ก็อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ไททานิกเบลฟาสต์ที่จัดแสดงเรื่องราวของเรือไททานิกอันโด่งดัง และไจแอนท์คอสเวย์ที่ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโก นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยทาง Palanla ได้รวบรวมมาฝากทุกท่านไว้ในบทความนี้

อ่านต่อ

สะพานเชือกคาร์ริก-อะ-รีด เขตอนุรักษ์แห่งชาติ ชายฝั่งคอสเวย์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ

สะพานเชือกคาร์ริก-อะ-รีด เขตอนุรักษ์แห่งชาติ (National Trust Carrick-a-Rede) เป็นสะพานเชือกความยาว 20 เมตรที่เชื่อมระหว่างพื้นที่ชายฝั่งกับเกาะหินคาร์ริก-อะ-รีดที่อยู่ตรงข้ามกัน ที่นี่เป็นจุดชมทิวทัศน์มหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่พร้อมกับเส้นทางผจญภัยบนสะพานเชือกที่ทอดข้ามข้ามเหวลึก 30 เมตรไปสำรวจเกาะเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่ตั้งของกระท่อมชาวประมงเก่าแก่ที่มีอายุราวสี่ร้อยกว่าปี ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในจุดชมวิวและจุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

อ่านต่อ

ปราสาทเบลฟาสต์ เมืองเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ

ปราสาทเบลฟาสต์ (Belfast Castle) เป็นคฤหาสน์เก่าแก่หลังใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบสกอตต์บารอนอย่างงดงาม ถือเป็นแลนด์มาร์กขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นบนเนินเขาเคฟฮิลล์ในเมืองเบลฟาสต์ นอกจากปราสาทเบลฟาสต์จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ที่นี่ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ เช่น งานแต่งงานและการประชุมทางธุรกิจ นอกจากนี้ ด้วยพื้นที่เนินเขาที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 120 เมตร จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดชมวิวเมืองเบลฟาสต์จากมุมสูงอีกด้วย

อ่านต่อ

ตลาดเซนต์จอร์จ เมืองเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ

ตลาดเซนต์จอร์จ (St George’s Market) เป็นตลาดในร่มสไตล์วิคตอเรียนแห่งสุดท้ายที่ยังเปิดทำการอยู่ในเมืองเบลฟาสต์ ตลาดแห่งนี้เปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ช่วงสายถึงบ่ายสอง โดยมีแผงขายอาหาร สินค้าแฮนด์เมด และสินค้าหลากหลายประเภท ท่ามกลางดนตรีสดและบรรยากาศที่คึกคัก ตลาดแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองในทุกสุดสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดเซนต์จอร์จยังได้รับรางวัลทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศทางด้านผลผลิตสดใหม่ในท้องถิ่นและบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นตลาดในร่มขนาดใหญ่ที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักรประจำปี 2023 จาก NABMA Great British Market Awards อีกด้วย

อ่านต่อ

กำแพงเมืองเดอร์รี เมืองลอนดอนเดอร์รี่ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ

กำแพงเมืองเดอร์รี (The Derry Walls) เป็นอนุสรณ์สถานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอร์แลนด์เหนือ และเป็นกำแพงเมืองที่ยาวที่สุดและมีความสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบที่เหลืออีก 30 เมืองในไอร์แลนด์อีกด้วย กำแพงเมืองเดอร์รี่อยู่ใกล้กับแม่น้ำฟอยล์ มีประตูเมือง 7 ประตู ภายในกำแพงเมืองเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ปราสาท ศาลากลาง และโบสถ์ ไฮไลท์ของกำแพงเมืองแห่งนี้คือปืนใหญ่จำนวน 22 กระบอกที่เรียงรายไปตามป้อมปราการของกำแพงเมือง ปืนเหล่านี้เป็นปืนโบราณจากศตวรรษที่ 16, 17 และ 18 โดยมีปืนโรริงเมกอันโด่งดังตั้งอยู่ที่ป้อมปราการที่อยู่ใกล้ประตูบิชอป กำแพงเมืองเดอร์รี่จึงถือเป็นแหล่งมรดกที่มีความสำคัญระดับชาติและเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ควรแวะเที่ยวชม

อ่านต่อ

11 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ซูริค (Zurich) หนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของยุโรปที่นักเดินทางทั่วโลกใฝ่ฝัน เพราะนอกจากมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติอันงดงามบริสุทธิ์แล้ว ยังรุ่มรวยไปด้วยประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม Palanla ได้รวบรวมเอา 11 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในซูริคมาฝากกัน

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ