7 วันขับรถเที่ยวตะลุยแลปแลนด์

  • อ่าน (2,864)
  • By Webmaster
  • 17:24:58 | 6 ธ.ค. 2566

7 วันขับรถเที่ยวตะลุยแลปแลนด์

7 Days in Lapland, Finland

7 Days in Lapland

             แลปแลนด์ (Lapland) ภูมิภาคซึ่งตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศฟินแลนด์ (Finland) นับเป็นจุดหมายหลักสำหรับนั่งท่องเที่ยวจากทั่วโลกรวมถึงพวกเราด้วยที่อยากจะเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์ท่องเที่ยวฤดูหนาวแบบขั้วโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นการพักอยู่ในที่พักแบบกระท่อมหลังคากระจกใสท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมของป่าสนและทุ่งหิมะขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เฝ้ารอชมปรากฏการณ์แสงเหนือวาดลีลาอันสวยงามเหนือท้องฟ้าในยามค่ำคืน และทำกิจกรรมฤดูหนาวสนุกๆ  อย่างการนั่งเลื่อนที่วิ่งลากโดยสุนัขฮัสกี้จอมพลัง ขับสโนวโมบิลออกไปตะลุยตกปลาน้ำแข็ง รวมถึงนั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์ เที่ยวปราสาทหิมะ ไปเที่ยวหมู่บ้านซานต้าและชมเส้นวงกลมละติจูดอาร์กติก (Arctic Circle) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเส้นสำคัญของโลกที่ลากผ่านเมืองโรวาเนียมี

             เก็บกระเป๋าแล้วไม่รอช้า หลังจากได้จับจองที่พักล่วงหน้าพร้อมกิจกรรมต่างๆ และเฝ้ารอให้ถึงวันนี้มาเป็นเวลาหลายเดือน ก็ถึงเวลาที่เราจะได้บินลัดฟ้าสู่ดินแดนซานต้า และออกตะลุยดินแดนหิมะขาวโพลนแบบระยะประชิดกับขั้วโลกเหนือเสียที โดยจุดหมายแรกของเราอยู่ที่เมืองโรวาเนียมี (Rovaniemi) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดของแลปแลนด์   

7 Days in Lapland
แผนที่แสดงจุดท่องเที่ยว 7 วันในแลปแลนด์ ประเทศฟินแลนด์

             Day 1 : (BKK - Helsinki - Rovaniemi) Nova Skyland Hotel – Santa Village (พักค้างคืนที่ Nova Skyland Hotel)

             Day 2  : (Rovaniemi) Luosto Ski – Santa Park (พักค้างคืนที่ Nova Skyland Hotel)

             Day 3 : (Kemi) Seaside Glass Villas – Icebreaker Sampo - Snowmobile & Ice Fishing – Kemi Snow Castle (พักค้างคืนที่ Seaside Glass Villas)

             Day 4 : (Ivalo) Wilderness Hotel Inari - Siida Sami Museum and Nature Centre (พักค้างคืนที่ Wilderness Hotel Inari)

             Day 5 : (Ivalo) Kakslauttanen Arctic Resort - Saariselka Ski & Sport Resort  - Aurora Hunting with Huskies (พักค้างคืนที่ Kakslauttanen Arctic Resort)

             Day 6 : (Ivalo) Reindeer Sleigh Ride and Visit Traditional Sami Village -  Kakslauttanen Art Gallery (พักค้างคืนที่ Kakslauttanen Arctic Resort)

             Day 7 : (Ivalo – Rovaniemi – Helsinki - BKK)

 

การเดินทางไป Rovaniemi

7 Days in Lapland
เครื่องบินโดยสารของสายการบินฟินแอร์

             จากประเทศไทยไม่มีบริการเที่ยวบินตรงไปยังแลปแลนด์  เราจึงต้องบินไปลงที่เฮลซิงกิเมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ก่อน  โดยจากกรุงเทพไปเฮลซิงกิจะมีสายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินตรง 1 สายการบินคือฟินแอร์ (Finnair) ซึ่งมีให้บริการ 16 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ด้วยกัน  โดยจะใช้เวลาบินโดยเฉลี่ย 10 ชม. 20 นาที ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnair.com/   

             และจากเฮลซิงกิบินไปลงยังเมืองโรวาเนียมี (Rovaniemi) จะใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที ด้วยระยะทางร่วม 1,000 กิโลเมตร หากจะว่าไปเมืองโรวาเนียมีก็เป็นเหมือนกับเมืองหลวงของภูมิภาคทางตอนเหนือจึงมีเที่ยวบินให้บริการเยอะสุด อีกทั้งที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกในเมืองก็มีอย่างครบครัน แม้ในเวลาค่ำคืนก็ยังเป็นเมืองที่มีบรรยากาศคึกคักไม่เงียบเหงาจนเกินไป สามารถที่จะออกมาเดินเที่ยวเล่นชมเมืองได้ เพื่อความอุ่นใจพวกเราจึงเลือกที่จะตั้งต้นจากที่นี่ก่อน  

             ซึ่งเที่ยวบินของเราคือรอบ 07.25 น. เป็นรอบเช้าสุดของวัน เนื่องจากเราตั้งใจที่จะไปถึงโรวาเนียมีให้เช้าที่สุดเพื่อที่จะได้มีเวลามากขึ้นสำหรับการเที่ยว หลังจากลงเครื่องที่สนามบินโรวาเนียมีและรับสัมภาระเสร็จเรียบร้อย เราก็จัดการไปรับรถเช่าที่ได้จองไว้ล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ https://www.rentalcars.com/th/region/fi/lapland/

             การจองรถเช่าในแลปแลนด์นั้นทั้งง่าย สะดวก มีจุดรับรถและส่งคืนรถหลายแห่ง รวมถึงที่สนามบิน เราสามารถเช่ารถที่เมืองหนึ่งแล้วคืนต่างเมืองได้แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉลี่ยแล้ว  ราคารถเช่าในแลปแลนด์เริ่มต้นที่ประมาณ 20 ยูโรต่อวัน บริษัทที่ให้บริการรถเช่าในแลปแลนด์นั้นก็มีให้เลือกหลายบริษัทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Thrifty, Europcar,  Avis, Hertz, Budget, Sixt, National ที่เราสามารถเราเลือกได้บนเว็บไซต์เช่ารถ โดยปกติแล้วเราสามารถเช่ารถได้นานสูงสุดที่ 30 วัน ซึ่งหากต้องการเช่าต่อก็สามารถทำได้โดยการชำระค่าบริการเพิ่มได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่น่าจะมีใครเช่าเป็นเวลานานขนาดนั้นอยู่แล้วสำหรับการมาเที่ยว ส่วนเราเช่าไว้ทั้งหมด 7 วันด้วยกัน โดยมีแผนการเดินทางท่องเที่ยวคือ Rovaniemi 2 คืน ที่ Ivalo 3 คืน และ Kemi 1 คืน
 

Day 1 : (BKK - Helsinki - Rovaniemi)

** Nova Skyland Hotel – Santa Village **

(พักค้างคืนที่ Nova Skyland Hotel)

             หลังจากลงเครื่อง รับสัมภาระและรับรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากสนามบิน Rovaniemi เราก็ขับมุ่งตรงกันมาที่โรงแรมโนว่า สกายแลนด์ (Nova Skyland Hotel) ซึ่งจะเป็นที่พักสำหรับคืนแรกของเราในแลปแลนด์ 

7 Days in Lapland
Nova Skyland Hotel ที่พักแห่งแรกของพวกเราในทริปนี้

             Nova Skyland Hotel อยู่ห่างจากสนามบิน Rovaniemi ประมาณ  3.5 กิโลเมตร พวกเราใช้เวลาขับรถเพียง 6 นาทีก็ถึง ที่นี่เป็นที่พักระดับ 4 ดาว ที่เรียกว่าสร้างความพึงพอใจให้เราได้ในระดับ 5 ดาวเลยทีเดียว ทั้งในด้านของความสวยงาม ความสะดวกสบายของที่พักในเรทราคาที่สมเหตุสมผล รวมถึงการบริการที่น่าประทับใจ โนวาสกายแลนด์เป็นโรงแรมขนาดกลางที่มีที่ตั้งดีเยี่ยมเพราะอยู่ในบริเวณหมู่บ้านซานต้า (Santa Village) ห้องพักที่นี่มีให้เลือกหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น Aurora Honeymoon Suite เป็นห้องสตูดิโอขนาด 34 ตร.ม. พักได้ 3 คน Nordic Cottage (Double Bed) เป็นห้องสตูดิโอขนาด 54 ตร.ม. พักได้ 5 คน Nordic Cottage (Twin Bed) เป็นห้องสตูดิโอขนาด 54 ตร.ม. พักได้ 5 คน Luxury Nordic Cottage เป็นห้องสตูดิโอขนาด 86 ตร.ม. พักได้ 8 คน Aurora Suite (Double Bed) เป็นห้องสตูดิโอขนาด 56 ตร.ม. พักได้ 4 คน  และ Aurora Suite (Twin Bed) เป็นห้องสตูดิโอขนาด 56 ตร.ม. พักได้ 4 คน ซึ่งภายในห้องพักแต่ละประเภทก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน     

7 Days in Lapland
รอบๆ บ้านพักโอบล้อมไปด้วยต้นสนสูงชะลูดและหิมะสีขาว

7 Days in Lapland
บรรยากาศภายในห้องพัก

7 Days in Lapland
ห้องพักของพวกเรา บรรยากาศอบอุ่น สะอาดตา

             โดยห้องที่เราเลือกพักกันเป็นห้องแบบ Nordic Cottage สำหรับ 4 คน ราคาตกคืนละ 864 ยูโร ด้านในแบ่งเป็นสองชั้น ตกแต่งอย่างสวยงามสะอาดตาและให้บรรยากาศที่อบอุ่น จากโรงแรมเราสามารถเดินไปเที่ยวที่หมู่บ้านซานต้าได้สบายๆ ในเวลาเพียง 3 - 4  นาทีเท่านั้น เรียกว่าหากใครต้องการจะเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ ของหมู่บ้านซานต้าทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนก็สามารถทำได้ตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นี่  

เวลาเปิด – ปิด : เปิด 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS :  66°32'28.6"N 25°50'54.0"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรงแรมโนวาสกายแลนด์ ได้ที่ : https://www.palanla.com/th/abroadLocation/detail/1102
 

             แผนการท่องเที่ยวของเราวันนี้เป็นกิจกรรมตามรอยซานต้าเบาๆ โดยการขับรถไปเที่ยวหมู่บ้านซานต้า (Santa Village) ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมเพียง 3 กิโลเมตร เมื่อเอ่ยถึงซานตาคลอสเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี แต่หลายๆ คนอาจยังไม่ทราบว่าประเทศฟินแลนด์คือถิ่นกำเนิดของซานตาคลอสเลยทีเดียว เหตุที่หมู่บ้านซานต้าคลอสตั้งอยู่ที่เมืองโรวาเนียแห่งนี้ก็เป็นเพราะว่าเมื่อปีค.ศ. 1927 มีนักจัดรายการวิทยุชาวฟินแลนด์ชื่อ Markus Rautio ได้พูดออกอากาศว่า “รู้ไหม..? โรงงานผลิตของเล่นของซานต้า ตั้งอยู่ในเขตแลปแลนด์ของเรานี่เอง” ประโยคสั้นๆ นี้เองที่ได้สร้างความรับรู้ต่อๆ กันไปว่า บ้านของซานต้าตั้งอยู่ที่แลปแลนด์ และต่อมาในปีค.ศ. 1984 การท่องเที่ยวของฟินแลนด์ก็ได้เกิดแนวคิดที่จะตั้งหมู่บ้านซานตาคลอสขึ้นที่เมืองโรวาเนียมิเพื่อส่งเสริมเขตแลปแลนด์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งที่นี่ก็ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ใครๆ ก็ฝันอยากจะมาจริงๆ

7 Days in Lapland
Santa Village คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว

7 Days in Lapland
หุ่นคุณลุงซานต้าที่ใครเดินผ่านมาตรงนี้ก็อดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ไม่ได้

7 Days in Lapland
เสาสีแดงเด่น แลนด์มาร์กสำคัญที่บอกให้รู้ว่าเส้น Arctic Circle อยู่ที่นี่

             ในหมู่บ้านซานตาคลอสมีทั้งพิพิธภัณฑ์ของเล่นขนาดย่อม ร้านอาหาร ที่พัก และร้านขายสินค้าที่ระลึกมากมายที่ทำให้เราเพลิดเพลินและสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งสิ่งที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือการถ่ายรูปคู่กับซานตาคลอส และการส่งโปสการ์ดจากที่ทำการไปรษณีย์ในหมู่บ้านซานตาคลอสพร้อมกับติดแสตมป์ที่ประทับตราพิเศษของ Santa Claus Village รวมถึงชมการคัดแยกจดหมายจากเด็กๆ ทั่วโลกที่จ่าหน้าซองถึงคุณลุงซานต้าด้วย โดยความพิเศษของจดหมายเหล่านี้คือ จดหมายทุกฉบับที่จ่าหน้าซองถึง “Santa Claus” จะถูกส่งมาที่นี่โดยไม่ต้องระบุที่อยู่ใดๆ

7 Days in Lapland
เลื่อนกวางเรนเดียร์

             นอกจากสิ่งต่างๆ ที่ว่ามาแล้ว ที่หมู่บ้านซานต้ายังมีบริการนั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์ระยะทางสั้นๆ ไปรอบๆ หมู่บ้านด้วยสำหรับใครที่ต้องการจะลองนั่งและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกให้ได้ความรู้สึกว่ามาถึงที่นี่แล้ว เรียกว่าเราเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆ ภายในหมู่บ้านซานต้าจนลืมเวลากันเลยทีเดียว

เวลาเปิด – ปิด : เปิดให้บริการทุกวันเวลา 10.00 – 17.00 น. (ช่วงเทศกาลคริสต์มาสเปิดเวลา 09.00  – 19.00 น.)

พิกัด GPS :  66°32'36.9"N 25°50'49.9"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยว กับหมู่บ้านซานต้า ได้ที่ : https://www.palanla.com/th/abroadLocation/detail/1107
 

Day 2 : (Rovaniemi)

** Luosto Ski – Santa Park **

(พักค้างคืนที่ Nova Skyland Hotel)

             เช้าวันที่ 2 ของการตะลุยเที่ยวแลปแลนด์นี้เรายังคงปักหลักพักกันอยู่ที่โรวาเนียมี โดยมีแผนท่องเที่ยวของวันคือการขับรถกินลมชมวิวขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปเที่ยว Lousto Ski ซึ่งอยู่ห่างจาก Nova Skyland Hotel ประมาณ 100 กิโลเมตรหรือขับรถไปราวๆ 1 ชั่วโมงนั่นเอง ลูว์สโต สกี (Luosto Ski) เป็นสกีรีสอร์ตขนาดกะทัดรัดและมีเส้นทางสกี 7 เส้นทางด้วยกัน ความลาดชันของเนินเขาที่นี่สร้างให้เกิดเส้นทางสกีหลายระดับ สำหรับคนที่ชำนาญการเล่นสกีเป็นมักชื่นชอบเนินลาดชันทางด้านทิศตะวันออกเป็นพิเศษ  ส่วนคนที่ไม่ถนัดหรือเพียงต้องการมาพักผ่อนแบบครอบครัวอย่างเรามีบริเวณที่เป็น “Family Slope” ซึ่งมีสวนสาธารณะเล็กๆ อยู่ด้วย  

7 Days in Lapland
ทางเข้าสู่ Luosto Ski

7 Days in Lapland
ใครที่ขับรถมาก็จะนำมาจอดไว้บริเวณนี้  

7 Days in Lapland
ถูกใจคอหิมะ ใครที่ไม่ได้มีชุดมีอุปกรณ์การเล่นมาก็สามารถมาเช่าจากที่นี่ได้

             นอกจากที่นี่จะเป็นที่เล่นสกีแล้วยังเป็นรีสอร์ตที่ให้บริการที่พักอีกด้วย ซึ่งคนที่เลือกมาพักที่นี่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคอสกีที่ต้องการมาใช้เวลาไปกับกิจกรรมประเภทนี้โดยเฉพาะ เและแม้ว่าลูว์สโตจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่หลักสำหรับการชมแสงออโรร่าหรือแสงเหนือแต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะได้เห็นปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์นี้หากเดินทางมาในเวลาที่เหมาะสม  

เวลาเปิด – ปิด :   เปิดให้บริการช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ปลายเดือนเมษายน เวลา 09.30 – 19.00 น.

พิกัด GPS : 67°09'17.3"N 26°54'22.6"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ลูว์สโต ได้ที่ : https://www.palanla.com/th/abroadLocation/detail/1104
 

             เราใช้เวลาอยู่ที่ลูว์สโตกันจนค่อนบ่าย ก่อนที่จะขับรถกลับมายังโรวาเนียมีและใช้เวลาที่เหลือของวันสำหรับการไปเยี่ยมชมซานต้า พาร์ค (Santa Park) ที่นี่เป็นคริสต์มาสธีมพาร์คในร่ม (Indoor Christmas theme park) ที่ได้รับการโหวตให้เป็นจุดหมายในฝันอันดับต้นๆ ของเทศกาลคริสต์มาสทั่วโลกเลยทีเดียว สิ่งนี้จึงเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่าหากใครที่ต้องการสัมผัสกับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเทศกาลแห่งความสุขและลุงซานต้าผู้ใจดีแล้วละก็ การมาเที่ยวที่นี่จะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอนเพราะภายในซานต้า พาร์คนั้นกว้างขวางและเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย เรียกว่าต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่อย่างน้อยๆ ก็ 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

7 Days in Lapland
ป้ายข้อความต้อนรับสู่ Santa Park

7 Days in Lapland
บรรยากาศด้านนอกของซานต้า พาร์คที่เราเก็บภาพมาได้

7 Days in Lapland
ด้านในก็จะเต็มไปด้วยกิจกรรมที่สร้างความเพลิดเพลินต่างๆ มากมาย การมาเที่ยวที่นี่จะให้ครบจริงๆ ต้องใช้เวลาอย่างนี้ประมาณ 3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

             กิจกรรมต่างๆ ที่จะสร้างความเพลิดเพลินให้เราที่ว่านี้ก็เช่น กิจกรรมข้ามเส้น  Arctic Circle การฝึกเขียนอักษรภาษาเอลฟ์และรับประกาศนียบัตรจากโรงเรียนเอลฟ์ (Elf School) แกลเลอรี่ประติมากรรมน้ำแข็ง การแสดง The Jolly Elf Show ที่เวทีการแสดงหลักที่มีด้วยกัน 3 รอบต่อวัน ที่ทำการไปรษณีย์ซานต้าที่นักท่องเที่ยวสามารถส่งจดหมายประทับตราพิเศษ และห้องครัวของบ้านขนมปังขิงบรรยากาศอบอุ่นที่มีกิจกรรมตกแต่งคุ้กกี้ให้ได้เพลิดเพลิน การเข้าชมซานต้า พาร์ค นั้นมีค่าเข้าอยู่ที่ 39 – 45 ยูโร ขึ้นอยู่กับช่วงเดือนที่ไป แต่น่าเสียดายที่ในช่วงที่เราเดินทางไปซานต้า พาร์คปิดไม่ได้เปิดให้เข้าชม เราจึงได้เพียงแค่เก็บบรรยากาศรอบๆ มาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น  

เวลาเปิด – ปิด : วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 10.00 น. 17.00 น.

พิกัด GPS : 66°32'21.4"N 25°47'48.7"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ซานต้า พาร์ค ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1097
 

Day 3 : (Kemi)

** Seaside Glass Villas Icebreaker Sampo - Snowmobile & Ice Fishing – Kemi Snow Castle **

(พักค้างคืนที่ Seaside Glass Villas)

             เช้าของวันที่ 3 ในแลปแลนด์หลังจากเสร็จภารกิจและช่วงเช้าและเช็กเอาต์ออกจาก Nova Skyland Hotel ที่เมืองโรวาเนียมีเรียบร้อย จุดหมายต่อไปของพวกเราคือเมืองเคมิ (Kemi) ซึ่งอยู่ห่างจากโรวาเนียมิลงไปทางตอนใต้ราวๆ 120 กิโลเมตร ใช้เวลาในการขับรถเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึง ที่พักที่เราได้จองไว้ที่เคมิคือ Seaside Glass Villas  ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Kemi Snow Castle เลย และข้อดีของการพักที่โรงแรมนี้คือเราสามารถเข้าชมปราสาทหิมะได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าบัตรด้วย

7 Days in Lapland
มองจากภายนอกที่พักของ Seaside Glass Villas จะมีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวเรียงรายกันอยู่

7 Days in Lapland
ภายในห้องพักเป็นผนังกระจกใส สวยงาม สะอาดตา สามารถมองเห็นวิวรอบๆ ได้เต็มๆ สร้างความว้าวให้กับพวกเรามาก

7 Days in Lapland
ถ้ามีแสงเหนือเกิดขึ้นที่นี่ก็สามารถนอนมองจากในห้องพักได้สบายๆ

             Seaside Glass Villas เป็นโรงแรมขนาดกะทัดรัดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งพื้นที่ใช้สอย บางห้องมีพื้นที่รับประทานอาหาร ห้องครัวขนาดเล็กพร้อมเครื่องครัว รวมถึงมีลานระเบียงที่เราสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพโดยรอบที่สวยงามได้ ห้องพักแบ่งออกเป็นหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นห้องพักแบบวิลล่าพร้อมวิวทะเล (2 เตียงเดี่ยว) ห้องขนาด 21 ตร.ม. ราคา 375 ยูโร ห้องพักแบบวิลล่าสุพีเรียร์ (2 เตียงเดี่ยว)  ห้องขนาด 21 ตร.ม. ราคา 315 ยูโร ห้องพักแบบวิลล่า (ห้องนอน 2 เตียงเดี่ยว และห้องนั่งเล่น 1 โซฟาเบด) ห้องขนาด 32 ตร.ม. ราคา 630 ยูโร

เวลาเปิด – ปิด : เปิด 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 65°43'35.7"N 24°34'09.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรงแรมซีไซด์กลาสวิลล่า ได้ที่ : https://www.palanla.com/th/abroadLocation/detail/1106
 

             ถึงเคมิแล้วเราก็ไม่รอช้า เพราะเรามีเวลาที่จะตะลุยเมืองนี้เพียง 1 วันเท่านั้น หลังจากที่เช็กอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมแรกของเราก็คือการเดินทางไปชม เรือตัดน้ำแข็งแชมโป (Icebreaker Sampo) ซึ่งเป็นเรือตัดน้ำแข็งที่โด่งดังที่สุดในโลก ซึ่งเรือตัดน้ำแข็งขนาดมหึมานี้มีน้ำหนักมากกว่าเรือตัดน้ำแข็งทั่วไปในขนาดเดียวกันถึง 3 เท่า ในอดีตเรือนี้เคยเป็นเรือตัดน้ำแข็งของรัฐบาลฟินแลนด์ซึ่งใช้ล่องในอ่าวบอธเนีย (Bothnia) ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของการมาเที่ยวเมืองเคมิซึ่งใครมาเที่ยวเคมิจะพลาดไปไม่ได้

7 Days in Lapland
ความมหึมาของเรือตัดน้ำแข็ง Icebreaker Sampo

7 Days in Lapland
ท่าจอดเรือก็น้ำในทะเลก็กลายเป็นน้ำแข็งไปเกือบทั้งหมด

7 Days in Lapland
ภาพซ้ายสุดบนป้าย ชุดสีแดงๆที่นักท่องเที่ยวในภาพใส่คือชุดหุ้มความร้อนกันฉนวนที่จะทำให้สามารถลงไปลอยอยู่ในทะเลที่เป็นน้ำแข็งได้โดยไม่หนาวเลย

             ตามจริงเราได้ตั้งใจเอาไว้ว่าต้องการที่จะซื้อทัวร์ล่องเรือออกไปในทะเลน้ำแข็ง ที่จะได้สวมชุดหุ้มความร้อนกันฉนวนลงไปลอยคออยู่ในทะเลน้ำแข็งเหมือนกับในภาพ แต่เนื่องจากไม่ได้จองทัวร์มาล่วงหน้าทำให้ต้องพลาดกิจกรรมสนุกๆ นี้ไปและทำได้เพียงชมเรือ Icebreaker Sampo ที่จอดเทียบท่าอยู่เท่านั้น ฉะนั้นแนะนำว่าหากใครต้องการที่จะซื้อทัวร์ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ที่แลปแลนด์เมื่อวางแผนเรื่องของวันเวลาได้แล้วควรจองทัวร์ไว้ล่วงหน้าเลยเพื่อจะได้ไม่พลาด ซึ่งทัวร์เรือตัดน้ำแข็งแชมโปนี้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 338 ยูโร สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  https://experience365.fi/icebreakersampo/

เวลาเปิด – ปิด :  รอบเช้า (Morning cruise) เวลา 8.30 - 12.00 น. รอบบ่าย (Afternoon cruise) เวลา 13.00 – 16.30 น.

พิกัด GPS : 65°43'35.6"N 24°34'09.2"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เรือตัดน้ำแข็งแชมโป ได้ที่ : https://www.palanla.com/th/abroadLocation/detail/1101
 

             กลับจากชมเรือตัดน้ำแข็งแชมโปพอหอมปากหอมคอ พอให้เอาไปเล่าให้ใครต่อใครฟังได้ว่าไปเราได้ไปเห็นมาแล้วนะเรือตัดน้ำแข็งยักษ์ ช่วงบ่ายเราก็มีนัดไว้กับทัวร์ Snowmobile & Ice Fishing  ที่บริเวณ Reception ของโรงแรม เมื่อมาเที่ยวแลปแลนด์กิจกรรมฤดูหนาวอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่อาจพลาดไปได้เลยคือการขับสโนวโมบิล (Snowmobile) และการตกปลาน้ำแข็ง (Ice Fishing) ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่ไม่ใช่ว่าทุกประเทศที่มีหิมะจะมีกิจกรรมเช่นนี้ทั้งหมด 

7 Days in Lapland
หน้าตาของ Snowmobile ที่พวกเราขับตะลุยไปบนหิมะ

             ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีทะเลสาบอยู่มากมายกว่า 188,800 แห่ง จนอาจเรียกว่าเป็นประเทศที่มีทะเลสาบมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ และด้วยความที่มีทะเลสาบอยู่มากมายนี้เองจึงมีปลาประเภทต่างๆ เป็นจำนวนมาก เมื่อน้ำในทะเลและทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งชาวฟินแลนด์ก็มีวิธีตกปลาในน้ำแข็งอย่างชาญฉลาดที่คนในประเทศแถบร้อนอย่างเราไม่เคยสัมผัสมาก่อน จนต้องขอมาลองทัวร์ขับสโนวโมบิลและตกปลาน้ำแข็ง (Snowmobile Safari & Ice Fishing) ดูบ้างสักครั้งเมื่อมาถึงถิ่นนี้แล้ว

             ระยะเวลาในการออกไปทัวร์ Snowmobile Safari & Ice Fishing นี้รวมแล้ว 2 ชั่วโมง โดยมีระยะทางจากจุดเริ่มต้นราว 20 กิโลเมตร ซึ่งก่อนออกไปทัวร์พวกเราต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนใส่ชุด เพราะการถอดและใส่ชุดแต่ละครั้งนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร 

             โดยเริ่มต้นสต้าฟจะดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยขณะทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการออกสตาร์ท วิธีการเบรก การชะลอ วิธีเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา และอื่นๆ อย่างครบถ้วน โดยชุดที่สวมใส่จะเป็นชุดที่ปกป้องร่างกายให้อบอุ่นที่สุดตั้งแต่หัวจรดเท้า นอกจากชุดก็จะมีหมวกกันลมคล้ายกับหมวกกันน็อกให้สวม มีถุงมือ 2 ชั้น และถุงเท้ากับรองเท้าที่มิดชิด

             เมื่อเตรียมความพร้อมกันเสร็จแล้วพวกเราทั้งหมดก็ขับสโนวโมบิลผ่านภูมิประเทศที่โอบล้อมไปด้วยหิมะกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ขณะที่เราขับสโนวโมบิลไปเป็นขบวนนั้นก็จะได้รับแรงสะเทือนจากคันหน้านิดหน่อย จึงมีบางคนที่เลือกที่จะขับออกไปนอกแทร็คบ้างเล็กน้อยเพราะพื้นยังมีปุยหิมะนั้นจะนุ่มนวลกว่าทำให้ไม่ได้รับแรงสะเทือนจากคันหน้ามาก แต่ยังไงเสียก็แนะนำว่าควรปฏิบัติตามคำแนะนำของสต๊าฟน่าจะดีที่สุด พวกเราขับสโนวโมบิลตามๆ กันไปอย่างสนุกสนาน จนมาถึงจุดที่สต๊าฟผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าดีที่สุดสำหรับการตกปลา นั่นก็คือบริเวณทะเลสาบที่ตอนนี้กลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งหมด

7 Days in Lapland
เพื่อนร่วมทริปนั่งตกปลาน้ำแข็งท่ามกลางหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมา และอุปกรณ์สีเขียวๆ ที่มีลักษณะเป็นเกลียวนั่นคือสิ่งที่เราใช้เจาะน้ำแข็งให้ทะลุลงไปก่อน

             ซึ่งวิธีตกปลาน้ำแข็งคือสต้าฟจะใช้เครื่องเจาะน้ำแข็งที่มีลักษณะคล้ายกับเกลียวสว่านเจาะลงไปให้ลึกจนถึงระดับที่เป็นน้ำ เมื่อเจาะลงไปแล้วมองเห็นสายน้ำไหลอยู่ข้างล่างจากนั้นค่อยเอาเบ็ดหย่อนลงไปในรูและรอให้ปลามากินเหยื่อ โดยช่วงเวลาที่เหมาะและปลอดภัยสำหรับการตกปลามากที่สุดคือช่วงที่อากาศติดลบต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งและมั่นใจได้ว่าน้ำแข็งจะไม่ยุบตัว เมื่อตกปลาได้ ปลาสดๆ เหล่านี้ก็จะถูกนำมาย่างเป็นอาหารกลางวันสำหรับพวกเรา ส่วนใครที่ไม่ได้อินกับปลาก็มีอาหารจำพวกไส้กรอกย่างไว้ให้ด้วย

7 Days in Lapland
เตาปิ้งย่างเคลื่อนที่ประจำทริป

             ราคาทัวร์ Snowmobile Safari & Ice Fishing ราคา 290 ยูโรต่อสองคน ซึ่งทัวร์สโนวโมบิลและตกปลาน้ำแข็งนี้จะมีให้บริการเพียงวันละรอบในเวลา 13.00 – 15.00 น. เท่านั้น โชคดีที่เราจองทัวร์มาก่อนล่วงหน้าจึงไม่พลาดกิจกรรมสนุกๆ นี้ไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับทัวร์ได้ที่  https://sealaplandsafaris.com/activity/ice-fishing-trip-by-snowmobiles

เวลาเปิด – ปิด : ทัวร์มีวันละรอบ เวลา 13.00 – 15.00 น.

พิกัด GPS : 65°43'35.6"N 24°34'09.2"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ขับสโนวโมบิลและตกปลาน้ำแข็ง ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1094
 

             จบจากทัวร์ขับสโนวโมบิลและตกปลาน้ำแข็งเราก็มีอีกหนึ่งกิจกรรมเบาๆ ทว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ สำหรับวันนี้รออยู่ นั่นก็คือการเที่ยวปราสาทหิมะเมืองเคมิ (Kemi Snow Castle) อันมีชื่อเสียงซึ่งแทบจะอยู่ติดกับที่พักของเราเลยก็ว่าได้ และความพิเศษคือเราสามารถเข้าชมปราสาทหิมะได้เลยโดยไม่ต้องซื้อบัตรผ่านประตูเนื่องจากเป็นแขกที่เข้าพักกับทางโรมแรมอยู่แล้ว (บัตรเข้าชมปกติราคาราวๆ 18 ยูโร)  

             ปราสาทหิมะเมืองเคมิที่ว่านี้ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทหิมะที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เขาจะสร้างขึ้นมาเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น มีขั้นตอนในการสร้างคือใช้ Snow Machine แปลงน้ำจากทะเลให้กลายเป็นหิมะแล้วจึงนำมาทำเป็นโครงสร้างของปราสาท โดยแต่ละปีนั้นจะใช้เวลาในการสร้างขึ้นมาใหม่นานกว่า 5 สัปดาห์ปราสาทที่สูงที่สุดมีความสูงถึง 3 ชั้น ส่วนผนังที่ยาวที่สูดก็มีความยาวกว่า 1,000 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งภายในปราสาทหิมะนี้จะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ โบสถ์ ภัตตาคาร และโรงแรม   

 7 Days in Lapland
ด้านนอกของปราสาทหิมะ (Kemi Snow Castle)

 7 Days in Lapland
เคาน์เตอร์ขายตั๋วก็ทำมาจากน้ำแข็งทั้งหมด

 7 Days in Lapland
บรรยากาศด้านใน ใครชอบมุมไหนก็ถ่ายรูปกันได้ตามพอใจ

             หลังจากซื้อตั๋วเสร็จแล้วเราก็จะได้รับสติ๊กเกอร์สำหรับติดที่เสื้อ และระหว่างการเที่ยวชมภายในปราสาทหิมะนี้ก็จะมีไกด์ที่คอยแนะนำที่มาและเรื่องราวของการก่อสร้างปราสาท รวมถึงมีบริการเครื่องดื่มซึ่งรวมไว้ในค่าตั๋วเข้าชมแล้ว เมื่อเข้ามาภายในก็จะพบกับภัตตาคารน้ำแข็งเป็นอันดับแรก ซึ่งเราสามารถเดินทะลุไปมากับห้องอื่นๆ และถ่ายรูปได้อย่างเพลิดเพลิน พวกเราเห็นแล้วต่างก็อดที่จะทึ่งไปกับทุกอย่างในนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน และอีกหลายๆ อย่าง เรียกว่าตั้งแต่พื้นจรดเพดานคือทุกอย่างทำด้วยน้ำแข็งทั้งสิ้น

 7 Days in Lapland
ห้องต่างๆ ถูกแกะสลักเป็นลวดลายแตกต่างกัน เห็นแล้วก็ไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้คือล้วนทำมาจากน้ำแข็ง

 7 Days in Lapland
ใช่ว่าภายในจะมีแต่สีขาวของหิมะทั้งหมด ไฟแสงสีที่ประดับประดาเพิ่มลูกเล่นก็มีเพียบ

 7 Days in Lapland
ความที่ทุกอย่างเป็นน้ำแข็งเห็นแล้วก็อดที่จะนึกถึงหนังเรื่อง Frozen ไม่ได้

             แม้ว่าต้นกำเนิดของโรงแรมน้ำแข็งจะอยู่ที่สวีเดน ทว่าโรงแรมน้ำแข็งที่ฟินแลนด์กลับดูเหมือนจะมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากกว่า โดยในแต่ละปีในช่วงฤดูหนาวที่มีการเนรมิตปราสาทและโรงแรมน้ำแข็งแห่งนี้ขึ้นมานั้นจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมมากถึง 100,000 คน ซึ่งจากการที่เราได้สัมผัสกับของจริงแล้วก็สามารถบอกได้ทันทีว่าไม่แปลกใจเลยเพราะว่าเพราะเหตุใดใครๆ อยากอยากเดินทางมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง        

เวลาเปิด – ปิด : เปิดให้เข้าชมทุกวันในช่วงปลายเดือนธันวาคม – เมษายน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น.

พิกัด GPS : 65°43'37.7"N 24°34'01.3"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ปราสาทหิมะเมืองเคมิ ได้ที่ : https://www.palanla.com/th/abroadLocation/detail/1106
 

Day 4 : (Ivalo)

** Wilderness Hotel Inari - Siida Sami Museum and Nature Centre  **

(พักค้างคืนที่ Wilderness Hotel Inari)

             วันที่สี่ของการตะลุยเที่ยวแลปแลนด์นี้เป็นวันที่เราต้องโบกมือลาเมืองเคมิ เพื่อขับรถมุ่งขึ้นเหนือกว่า 400 กิโลเมตร โดยมีจุดหมายปลายทางคือ Wilderness Hotel Inari เมืองอิวาโล (Ivalo) ซึ่งเป็นที่ที่มีไฮไลต์สำคัญของเรารออยู่ ซึ่งก็คือการล่าแสงเหนือนั่นเอง กับการเดินทางนานกว่า 5 ชั่วโมง ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง Wilderness Hotel Inari ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติของป่าแบบฟินแลนด์ ซึ่งผสมผสานความเป็นที่พักคุณภาพกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์และกิจกรรมอาร์กติกได้อย่างลงตัว ที่พักของเราอยู่ห่างจากหมู่บ้านซามิ อินาริ ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ซิมิ (Sami Museum) เพียง 5 นาทีเท่านั้น การพักที่นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ลงตัวสุดๆ สำหรับการที่จะได้ดื่มด่ำไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเต็มเปี่ยม  

 7 Days in Lapland
บรรยากาศน่ารักๆ รอบๆ Wilderness Hotel Inari เหมือนหมู่บ้านไม้ซุงหลังเล็กๆ เรียงรายกันอยู่

             Wilderness Hotel Inari เป็นรีสอร์ตระดับ 3 ดาวที่มีที่พักให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบ Aurora Cabins ซึ่งเป็นห้องพักหลังคากระจกขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นวิวท้องฟ้าได้ มีอยู่ 12 หลังด้วยกัน ส่วนแบบ Wilderness rooms ก็จะเป็นห้องพักที่ตกแต่งแบบแลปแลนด์ สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบอินาริ ท้องฟ้า และธรรมชาติรอบๆ มีอยู่ทั้งหมด 40 ห้อง และที่พักแบบ Log Cabins ซึ่งเป็นกระท่อมไม้ซุงพร้อมวิวทะเลสาบอินาริหรือวิวแม่น้ำนุกคุมาโจกิ มีอยู่ 8 หลัง และภายในรีสอร์ตก็มีภัตตาคารที่ตกแต่งอย่างสวยงามในธีม Lappish ที่ให้บริการอาหารอร่อยๆ รวมถึงกิจกรรมแอดเวนเจอร์อย่างสโนวโมบิล (Snowmobile) และมีบริการจักรยานที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถปั่นไปรอบๆ บริเวณได้

 7 Days in Lapland
ฤดูหนาวของที่นี่หิมะแทบจะปกคลุมบ้านทั่วทั้งหลัง

 7 Days in Lapland
บ้านไม้ธรรมดาๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ

เวลาเปิด – ปิด : เปิด 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 68°53'52.8"N 27°05'12.9"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ไวล์เดอร์เนส โฮเทล อินาริ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1105
 

             หลังจากเช็กอินเข้าที่พักเสร็จเรียบร้อยและพักผ่อนเอาแรงสักเล็กน้อย เรายังพอมีเวลาเหลือในช่วงบ่าย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพวกเราก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าไปที่พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ (Siida Sami Museum and Nature Centre) ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมเพียง 3 กิโลเมตรกว่าๆ ขับรถไป 5 - 6 นาทีก็ถึงแล้ว

             พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ (Siida Sami Museum and Nature Centre)  เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1963 อาคารพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บริเวณที่เป็นพื้นที่ของหมู่บ้านอินาริ โดยดินแดนบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวซามิ (Sami) ชนพื้นเมืองในทวีปยุโรปมานานกว่า 9,000 ปี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้พบหลักฐานที่สำคัญทางโบราณคดีว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยที่แรกสุดของชาวซามิที่ตั้งถิ่นฐานในแลปแลนด์อีกด้วย

 7 Days in Lapland
อาคารพิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ

             ภายในพิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติมีคอลเล็กชั่นต่างๆ ที่สะท้อนถึงตัวตน วัฒนธรรมทางจิตวิญญาณ และประวัติศาสตร์ของชาวซามิดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าสนใจ และไฮไลต์ที่สำคัญที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพวกเรามาก ก็คือนิทรรศการเกี่ยวกับแสงเหนือ (Northern Light / Aurora Light) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ที่เดินทางมาเที่ยวแลปแลนด์รวมถึงพวกเราด้วย โดยข้อมูลที่สำคัญต่างๆ และภาพประกอบนั้นจัดแสดงไว้อย่างละเอียดครบถ้วน

 7 Days in Lapland
สิ่งจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวซามิ บางอย่างเราก็ผ่านตามาบ้าง บางอย่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

 7 Days in Lapland
ชุดพื้นเมือง เสื้อผ้าและรองเท้าแบบชาวซามิ

 7 Days in Lapland
โซนที่จัดแสดงเกี่ยวกับธรรมชาติและแสงเหนือ

 7 Days in Lapland
ข้อมูลเกี่ยวกับแสงเหนือที่นี่เรียกว่าครบถ้วนสมบูรณ์มากทั้งข้อมูลและภาพประกอบที่น่าตื่นตาตื่นใจ

             บอกได้เลยว่าหากใครที่จองทัวร์ล่าแสงเหนือไว้แล้ว และมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อนจะยิ่งทำให้เพลิดเพลินและอินกับการล่าแสงเหนือเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน สำหรับครึ่งบ่ายของวันแรกที่อิวาโลนี้เราจึงค่อยๆ ใช้เวลาละเลียดและดื่มด่ำไปกับข้อมูลความรู้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติอย่างเต็มที่ก่อนที่จะได้ออกไปล่าแสงเหนือแล้วจริงๆ ในคืนพรุ่งนี้ ที่เราทุกคนหวังใจกันไว้ว่าจะได้ยลแสงสวยๆ บนท้องฟ้าด้วยตาตัวเองสักครั้ง!

เวลาเปิด – ปิด : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น.

พิกัด GPS : 68°54'38.9"N 27°00'49.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1100
 

Day 5 : (Ivalo)

** Kakslauttanen Arctic Resort - Saariselka Ski & Sport Resort - Aurora Hunting with Huskies **

(พักค้างคืนที่ Kakslauttanen Arctic Resort)

             วันที่ 5 ของทริปนี้เราย้ายที่พักจาก Wilderness Hotel Inari มาที่ Kakslauttanen Arctic Resort หรือที่เป็นที่รู้จักกันดีจากภาพของกระท่อมกระจกใสหรือ Glass Igloo ที่เรียงรายกลางป่าสนและทุ่งหิมะขาวโพลน ที่บางครั้งก็มีภาพของแสงเหนือวาดลีลาอยู่เหนือท้องฟ้าปรากฏอยู่ด้วย ที่นี่เป็นที่พักยอดนิยมสำหรับคนที่เดินทางมาเที่ยวแลปแลนด์รวมถึงพวกเราด้วย ซึ่งการที่จะมาพักที่นี่เราต้องจองล่วงหน้าอยู่นานหลายเดือนเลยทีเดียว โดยเราได้ทำการจองที่พักกับ Kakslauttanen  Arctic Resort เอาไว้ 2 คืนด้วยกัน  

 7 Days in Lapland
บรรยากาศสวยๆ ในเวลากลางคืนรอบๆ ที่พักของเราที่ Kakslauttanen Arctic Resort

 7 Days in Lapland
ถ้าโชคดีเกิดแสงเหนือบริเวณนี้เราก็สามารถนอนดูจากในที่พัก Glass Igloo ของเราได้เลย

             ที่พักที่ Kakslauttanen Arctic Resort ไม่ได้มีเฉพาะแบบ Glass Igloo ที่เรามักเห็นกันตามภาพเท่านั้น แต่ยังมีแบบอื่นๆ อีกทั้งแบบบ้านไม้ (Cabin) ที่เป็นห้องพักสำหรับครอบครัว มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น เตาผิง ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา และห้องซาวน่าส่วนตัวภายใน สามารถเข้าพักได้ตั้งแต่ 2 – 5 คน  และแบบบ้านไม้ที่มีห้องขนาดใหญ่และมีส่วนที่ยื่นออกไปเป็นกระจก (Kelo Glass Igloo) เป็นการผสมผสานระหว่างที่พักแบบบ้านไม้กับกระท่อมกระจกใส เข้าพักได้สูงสุด 6 คน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีครบครันเช่นเดียวกันกับที่พักแบบบ้านไม้ ราคาที่พักเริ่มต้นที่ 394 ยูโรต่อคืน    

             สำหรับที่พักที่เราจองไว้เป็นที่พักแบบ Glass Igloo สำหรับ 4 คน ภายในที่พักมีห้องสุขาและห้องอาบน้ำในตัว แต่หมายเหตุไว้นิดว่าสำหรับผู้ที่จองที่พักแบบ Glass Igloo สำหรับ 2 คนจะมีเฉพาะห้องสุขาเท่านั้น ส่วนห้องอาบน้ำจะต้องเดินไปใช้ห้องอาบน้ำซึ่งอยู่ที่โรงอบซาวน่า  

 7 Days in Lapland
บรรยากาศด้านในห้องพักแบบ 4 คนของพวกเรา

             เมื่อเดินทางมาถึงโรงแรม สิ่งแรกที่เราต้องเผชิญก็คือการลากกระเป๋าไปที่ห้อง โดยทางโรงแรมจะมีเลื่อนไม้สำหรับให้ผู้เข้าพักลากไปเอง ซึ่งเราสามารถขับรถเข้าไปใกล้ที่พักมากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าไกลนัก แต่หลังจากถ่ายเทสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องขับออกมาจอดที่บริเวณลาดจอดรถที่ทางโรงแรมกำหนดไว้ ซึ่งแม้ระยะทางจะไม่ได้ไกลมากแต่ยอมรับว่าก็สร้างความทุลักทุเลให้กับพวกเราได้ไม่น้อยเลยจริงๆ  

 7 Days in Lapland
พวกเราต้องใช้เลื่อนไม้ลากกระเป๋าไปที่ Igloo แม้ระยะทางจะไม่ไกลมากแต่อากาศหนาวๆ และทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยหอบได้เบาๆ

 7 Days in Lapland
เลื่อนไม้กับเนินหิมะขาวโพลนรอบๆ ที่พัก

             ภายในรีสอร์ทจะมีห้องอาหารตามสั่ง 2 แห่งที่ให้บริการอาหารพิเศษแบบแลปแลนด์ เช่น อาหารจำพวกกวางเรนเดียร์ และปลาแซลมอนย่าง รวมถึงยังมีห้องซาวน่ากระจายอยู่หลายจุดด้วยกัน ไม่เพียงเท่านี้ เพราะที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของห้องซาวน่าขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งหลายๆ คนรวมถึงเราเองยังไม่เคยทราบมาก่อนด้วยซ้ำว่าแลปแลนด์นี่ถือเป็นต้นกำเนิดของการทำซาวน่าที่ขึ้นชื่อว่าดีต่อสุขภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยทีเดียว    

 7 Days in Lapland
บริเวณ Reception และภัตตาคารที่เราแวะเวียนมาฝากท้อง

 7 Days in Lapland
ด้านในภัตตาคารตกแต่งอย่างสวยงามแบบแลปแลนด์โดยเน้นงานไม้ โคมไฟก็มีลักษณะเป็นรูปเขากวาง

             นอกจากบรรยากาศที่รื่นรมย์ของที่พักท่ามกลางทุ่งหิมะกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาและป่าสนซึ่งเป็นเอกลักษณ์แล้ว บริษัททัวร์ต่างๆ ก็มีให้บริการขายทัวร์โดยรับส่งจากที่คาคสเลาท์ทาแนน อาร์กติก รีสอร์ท และออกไปสนุกสนานกับกิจกรรมแอดเวนเจอร์ฤดูหนาวยอดฮิตต่างๆ ด้วย 

เวลาเปิด – ปิด : เปิด 24 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 68°20'03.0"N 27°20'05.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1119
 

             หลังจากเช็กอินและเก็บสัมภาระเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมในช่วงกลางวันของวันนี้เรามีแพลนคือการไปเที่ยว Saariselka Ski & Sport Resort  สกีรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงนี้อยู่ห่างจาก Kakslauttanen Arctic Resort ไปประมาณ 10 กิโลเมตร บรรยากาศรอบๆ รีสอร์ตล้อมรอบด้วยทัศนียภาพที่สวยงามและเนินเขาหิมะที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นสกี (Ski) สโนว์บอร์ดสกี (snowboarding skiing) สกีเทเลมาร์ค (telemark skiing) และสกีวิบาก (cross-country skiing) อย่างแท้จริง โดยบัตร Ski Pass หนึ่งวันสำหรับผู้ใหญ่ ราคาอยู่ที่ 49.50 ยูโร ส่วนบัตร Ski Pass หนึ่งวันสำหรับเด็ก ราคา 32.50 ยูโร

 7 Days in Lapland
Saariselka Ski & Sport Resort อยู่ห่างจาก Kakslauttanen Arctic Resort เพียงประมาณ 10 กิโลเมตร

 7 Days in Lapland
เราต้องนั่งกระเช้าหรือไม่ก็ขับรถเพื่อขึ้นไปยังเนินสกีด้านบน

 7 Days in Lapland
เราเลือกที่จะนั่งกระเช้าเพื่อดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์ระหว่างทาง

 7 Days in Lapland
บรรยากาศด้านบนที่แสนคึกคัก เต็มไปด้วยความสนุกสนานและรอยยิ้ม

 7 Days in Lapland
นอกจากสกีแล้วก็ยังมีกิจกรรมอย่างอื่น เช่นการนั่งกระดานแล้วไถลลงไปตามเนินที่สร้างความสนุกสนามและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

             สำหรับคนที่ไม่สันทัดกีฬาประเภทนี้นักอย่างเรา แต่ต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ ของสกีรีสอร์ต ที่นี่ก็ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จัดว่าเด็ดที่น่ามา ซึ่งนอกจากการมาเล่นสกีแล้วที่ Saariselka Ski & Sport Resort ก็มีให้บริการที่พักและร้านอาหารอยู่ด้วยเช่นกัน เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันกันสองสามชั่วโมง ก่อนที่จะขับรถกลับมายังที่พัก และเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์สำคัญของค่ำคืนนี้

             สำหรับกิจกรรมช่วงเย็นที่เราตั้งหน้าตั้งตารอด้วยใจจดจ่อคือก็คือทัวร์ Aurora Hunting with Huskies ซึ่งเราจะได้ออกไปล่าแสงเหนือกับสุนัขฮัสกี้นั่นเอง ทันทีที่ถึงเวลานัดหมายคือ 20.00 น. เราก็ไปรอพบสต๊าฟของทัวร์ที่บริเวณ Reception จากนั้นสต๊าฟก็พาพวกเรานั่งรถชัทเทิลไปประมาณ 10 นาทีไปยังออฟฟิศของทัวร์ และได้อธิบายเกี่ยวกับวิธีการบังคับสุนัขและสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องรู้อยู่ราวๆ 15 นาทีก่อนที่จะให้พวกเราไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดกันหนาวที่ทัวร์จัดเตรียมไว้ให้ซึ่งจะช่วยปกป้องพวกเราจากความหนาวเย็นที่ไม่คุ้นชินในชีวิตประจำวันเช่นนี้ได้  

 7 Days in Lapland
เพื่อนร่วมทริปของเราในชุดกันหนาวของทัวร์ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายและบรรดาสุนัขฮัสกี้จอมพลัง

 7 Days in Lapland
สต๊าฟอธิบายวิธีบังคับเลื่อนและสิ่งต่างๆ ที่ควรรู้

             เมื่อตระเตรียมความพร้อมเรียบร้อย สต๊าฟและเหล่าขุนพลสุนัขฮัสกี้ก็พาพวกเรารุดออกไปค้นหาแสงเหนือ โดยมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่เป็นจุดเปิดซึ่งเป็นบริเวณที่มีโอกาสจะได้เห็นแสงเหนือได้สูงที่สุด การนั่งเลื่อนที่เทียมเข้ากับสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้จะใช้สุนัขประมาณ 5 – 6 ตัว เทียมเข้ากับที่นั่งของพวกเราเลื่อนละ 1 ที่นั่งโดยมีอีก 1 คนยืนอยู่ด้านหลังเพื่อคอยบังคับเลื่อนให้ไปตามทางที่สุนัขวิ่ง เวลาออกตัวคนที่ยืนจะเป็นคนใช้ขาข้างหนึ่งดันไปที่หิมะเพื่อเป็นสัญญาณกระตุกให้สุนัขออกตัว ถ้าต้องการให้สุนัขชะลอและหยุดต้องใช้เท้าเหยียบสิ่งที่มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กซึ่งอยู่ด้านล่าง ซึ่งเมื่อเหยียบจนสุดแผ่นเหล็กจะปักลงที่พื้น ซึ่งจะทำให้สุนัขหยุดเพราะวิ่งไปไม่ได้ ซึ่งระหว่างที่สุนัขวิ่งลากเลื่อนของวกเราไปนี้ก็จะมีรถลักษณะคล้ายกันกับสโนวโมบิล (Snowmobile) ขับนำหน้า 1 คัน และขับตามหลังอีก 1 คันคอยประกบท้ายบ้าง ประกบด้านข้างบ้าง เพื่อดูแลลูกทัวร์ที่มีอยู่ทั้งหมด 7 – 8 เลื่อนด้วยกัน

 7 Days in Lapland
วิ่งกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยล้า

 7 Days in Lapland
มีข้อแนะนำอีกนิดว่าทัวร์นี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับเด็กที่อายุน้อยและคนที่อายุเยอะๆ เพราะสุนัขฮัสกี้จะวิ่งเร็วพอสมควร และเราต้องมีเทคนิคในการบังคับสุนัขที่มีพลังเหลือเฟือเหล่านี้

             สุนัขฮัสกี้วิ่งลากเลื่อนของพวกเราไปประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นสต๊าฟก็พาเราแวะที่กระโจมไม้เข้าไปนั่งจิบกาแฟร้อนๆ และสแน็ค เพื่อคลายหนาวพร้อมกับเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังอยู่ประมาณสัก 40 นาทีได้ ก่อนที่สุนัขฮัสกี้จะวิ่งพาพวกเรากลับมายังจุดเริ่มต้น จัดการเปลี่ยนชุดกลับแล้วสต๊าฟก็พาพวกเรานั่งรถกลับมาส่งยังที่พักเช่นเดียวกับขาไป แม้ว่าคืนนี้โชคจะไม่เข้าข้างให้เราได้มีโอกาสเห็นแสงเหนืออย่างที่แอบหวังไว้ แต่นี่ก็นับเป็นกิจกรรมที่สนุกตื่นเต้นและสร้างความประทับใจให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดี

เวลาเปิด – ปิด : การทัวร์ Aurora Hunting with Huskies มีให้บริการทุกวันในช่วงเดือนกันยายน – เดือนมีนาคม ส่วนใหญ่เริ่มกิจกรรมเวลาประมาณ 20.00 น. โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

พิกัด GPS : 68°25'10.6"N 27°25'07.3"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ล่าแสงเหนือกับสุนัขฮัสกี้ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1103
 

Day 6 : (Ivalo)

** Reindeer Sleigh Ride and Visit Traditional Sami Village -  Kakslauttanen Art Gallery **

(พักค้างคืนที่ Kakslauttanen Arctic Resort)

             วันนี้เรายังคงพักกันอยู่ที่ Kakslauttanen Arctic Resort โดยมีแพลนเบาๆ ของวันนี้คือไปทัวร์นั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์และเยี่ยมชมหมู่บ้านซามิ (Reindeer Sleigh Ride and Visit Traditional Sami Village) ในช่วงสายๆ แล้วค่อยมาเที่ยวคาคสเลาท์ทาเนน อาร์ต แกลเลอรี่ (Kakslauttanen Art Gallery) ในช่วงบ่าย  หลังจากเสร็จภารกิจและรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย เราก็เตรียมตัวมารอพบสต๊าฟของทัวร์ที่จะมารับพวกเราที่บริเวณ Reception ของโรงแรม จากนั้นสต๊าฟก็พาเรานั่งชัทเทิลบัสไปที่ออฟฟิศของทัวร์เพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสำหรับกันหนาวได้เป็นอย่างดี แล้วค่อยพาเราขับรถไปยังบริเวณที่กวางอยู่ การนั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์นี้ ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็สามารถนั่งได้เพราะกวางจะค่อยๆ เดินไปอย่างเนิบๆ โดยมีคนคอยจูงนำไป เราไม่ต้องเป็นคนบังคับและก็ไม่ได้ผาดโผนเหมือนกับการวิ่งลากเลื่อนของสุนัขฮัสกี้    

 7 Days in Lapland
เลื่อนไม้ที่เราจะขึ้นไปนั่งเพื่อปล่อยให้กวางเรนเดียร์เดินลากเราไปเรื่อยๆ

 7 Days in Lapland
คนจูงกวางของพวกเรา

 7 Days in Lapland
ดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ ของหิมะและป่าสนขณะที่กวางเดินลากเราไป

             ทัวร์นั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์ถือเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้พวกเราได้รื่นรมย์ไปกับบรรยากาศและทัศนียภาพอันสวยงามของแลปแลนด์ในระหว่างทางที่กวางเดินค่อยๆ เดินไปอย่างเนิบช้า ซึ่งจะมีไกด์ที่คอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมชาวซามิและวิถีชีวิตทางภาคเหนือของฟินแลนด์แก่พวกเราด้วย  

             กิจกรรมนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสำหรับการลากเลื่อนและ 1 ชั่วโมงสำหรับเยี่ยมชมฟาร์มกวาง ราคาเริ่มต้นที่ 118 ยูโร / คน เป็นราคาที่รวมรถรับส่งจากที่พักมายังจุดเริ่มต้นกิจกรรม ค่าเข้าชมฟาร์มเลี้ยงกวาง เครื่องนุ่งห่มกันหนาว ของว่างและเครื่องดื่ม โดยหลังจากจบกิจกรรมแล้วทัวร์ก็จะพานักท่องเที่ยวกลับมาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เดิมและพานั่งรถกลับมาส่งยังที่พัก

เวลาเปิด – ปิด :  ทัวร์ Reindeer Sleigh Ride and Visit Traditional Sami Village มีให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว คือราวๆ ช่วงเดือนกันยายน – มีนาคม

พิกัด GPS : 68°50'51.8"N 28°17'52.4"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นั่งเลื่อนเทียมกวางเรนเดียร์และเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวซามิ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1099
 

             ช่วงบ่ายของวันพวกเราปล่อยชิลล์ โดยการขับรถไปชมข้างทางแถวๆ รีสอร์ตและสบโอกาสแวะไปเยี่ยมชม คาคสเลาท์ทาเนน อาร์ต แกลเลอรี่ (Kakslauttanen Art Gallery) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Kakslauttanen Arctic Resort ด้วย สิ่งแรกที่เราจะสังเกตเห็นหอคอยอิกลู (Igloo Tower) อันโดดเด่น ซึ่งหอคอยนี้เองเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงามที่สามารถชมไปชมวิวมุมสูงโดยรอบแบบพาโนรามาได้  

 7 Days in Lapland
อาคาร Kakslauttanen Art Gallery

 7 Days in Lapland
Kakslauttanen Art Gallery กับหอคอยอันโดดเด่นที่ด้านบนเป็นจุดชมวิวอย่างดีเยี่ยม

             ภายในแกลเลอรีนั้นได้จัดแสดงผลงานศิลปะแขนงต่างๆ จากศิลปินในท้องถิ่นที่บ่งบอกถึงความเป็น Lappish ได้อย่างดี มีทั้งนิทรรศการหมุนเวียนและนิทรรศการถาวรจัดแสดงไว้อย่างน่าสนใจ รวมถึงมีผลงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินท้องถิ่นในแลปแลนด์ ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรม ภาพวาด ศิลปะกราฟิก และภาพถ่ายจำหน่ายด้วย เวลาทำการของแกลเลอรี่คือวันจันทร์ – เสาร์ ระหว่างเวลา 11.00 – 19.00 น. สามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 

 7 Days in Lapland
ผลงานศิลปะบางส่วนที่จัดแสดงภายในแกลเลอรี่

 7 Days in Lapland
บางอย่างแม้เราไม่สามารถบอกได้ว่าศิลปินต้องการสื่อถึงอะไรแต่ก็พอรู้ได้ถึงความเป็นแลปแลนด์ที่อยู่ในงานอย่างชัดเจน

 7 Days in Lapland
จุดชมวิวที่อยู่บนหอคอย มีที่ให้นั่งด้วย

 7 Days in Lapland
มองลงมาก็จะเป็นป่าสนเต็มไปหมด ถึงจะไม่มีอะไรแต่ก็เป็นวิวแบบเฉพาะของแลปแลนด์ที่ทำให้ต้องขอถ่ายภาพเก็บไว้

เวลาเปิด – ปิด : เปิดให้บริการในวันจันทร์ – เสาร์ เวลา 11.00 – 19.00 น.

พิกัด GPS : 68°20'03.0"N 27°20'05.1"E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คาคสเลาท์ทาแนน อาร์ต แกลเลอรี ได้ที่ : https://www.palanla.com/th/abroadLocation/detail/1095
 

Day 7 : (Ivalo – Rovaniemi – Helsinki - BKK)

             วันนี้เป็นวันที่เราจะต้องออกเดินทางจากอิวาโลขับรถกลับไปยังโรวาเนียมีเพื่อขึ้นเครื่องกลับไปเฮลซิงกิในช่วงเย็น ซึ่งการขับรถจากอิวาโลไปโรวาเนียมีนั้นระยะทางอยู่ที่ประมาณ 290 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางราวๆ 3 ชั่วโมง และเวลาขึ้นเครื่องของเราคือ 18.15 นั่นหมายความว่าหากเราออกเดินทางจากอิวาโลในเวลา 9 โมงเช้าเราจะไปถึงอิวาโลช่วงเที่ยง และมีเวลาพักผ่อนยืดเส้นยืดเส้นอยู่บ้างเพื่อรอขึ้นเครื่องในช่วงเย็น โดยหลังจากเช็กเอาท์ห้องพักเรียบร้อยเราก็ไม่รอช้า ล้อเริ่มหมุนที่เวลา 9.00 น. โบกมือลาอิวาโลและมุ่งหน้าสู่สนามบินโรวาเนียมีเพื่อคืนรถ และขึ้นเครื่องกลับไปที่เฮลซิงกิด้วยความอิ่มเอมใจ

7 Days in Lapland
โบกมือลาทริปสีขาวแห่งแลปแลนด์
 

*** ข้อมูลที่ควรรู้ ***

เที่ยวบิน

             จากเฮลซิลกิไปโรวาเนียมี มีบริการเที่ยวบินตรงโดยสายการบิน Finnair (ให้บริการ 5 เที่ยวต่อวัน)  ราคาเที่ยวละประมาณ 177-193 ยูโร ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา เที่ยวบินที่ออกจากท่าอากาศยานเฮลซิงกิ ( HEL) มีให้เลือกหลากหลายช่วงเวลาดังนี้  

             รอบเวลา 07.25 น. ถึงท่าอากาศยานโรวาเนียมี (RVN) เวลา 08.55 น.

             รอบเวลา 12.05 ถึงท่าอากาศยานโรวาเนียมี (RVN) เวลา 13.25 น.

             รอบเวลา 16.20 ถึงท่าอากาศยานโรวาเนียมี (RVN) เวลา 17.40 น.

             รอบเวลา 19.55 ถึงท่าอากาศยานโรวาเนียมี (RVN) เวลา 21.15 น.

             รอบเวลา 21.20 ถึงท่าอากาศยานโรวาเนียมี (RVN) เวลา 22.45 น.
 

การเช่ารถ

             การจองรถเช่าในแลปแลนด์นั้นทั้งง่าย สะดวก และมีจุดรับรถและส่งคืนรถหลายแห่งรวมถึงที่สนามบินเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถเช่ารถที่เมืองหนึ่งแล้วคืนต่างเมืองได้เช่นกันทั้งนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย ราคารถเช่าในแลปแลนด์เริ่มต้นที่ประมาณ 20 ยูโรต่อวัน ซึ่งราคาที่แน่นอนนั้นจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ประเภทของรถและจุดหมายปลายทางที่เลือก ประเภทของรถเช่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในแลปแลนด์คือรถอีโคคาร์ เช่น Toyota Vios ซึ่งประเภทของรถที่เลือกนั้นควรเลือกให้เหมาะสมกับภูมิประเทศและภูมิอากาศเป็นสำคัญ บริษัทที่ให้บริการรถเช่าในแลปแลนด์นั้นมีให้เลือกหลายบริษัทด้วยกัน อาทิ Thrifty, Europcar,  Avis, Hertz, Budget, Sixt, National ซึ่งบริษัทรถเช่าที่ดีที่สุดในแลปแลนด์ตามคะแนนและรีวิวจากผู้ใช้จริงได้แก่ Avis, Hertz และ Budget โดยปกติแล้วระยะเวลาในการเช่ารถนั้นสามารถเช่าได้นานสูงสุดที่ 30 วัน แต่หากต้องการเช่าต่อเพิ่มก็สามารถทำได้โดยการชำระค่าบริการเพิ่ม ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.rentalcars.com/th/region/fi/lapland/  
 

ที่พัก

             โรงแรมใหม่ๆ ในแลปแลนด์ส่วนใหญ่ก็จะออกแบบที่พักให้มีผนังเป็นกระจกใสรอบๆ เพื่อให้สามารถชมแสงเหนือได้หากเกิดปรากฏการณ์ ทั้งนี้โรงแรมหรือรีสอร์ทที่อยู่ตามธรรมชาติป่าเขามักจะมีราคาที่สูงกว่าที่พักในเมืองมากเนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนและความเป็นส่วนตัว และการจองโรงแรมที่พักสำหรับการไปเที่ยวแลปแลนด์นั้นควรจองล่วงหน้า ซึ่งบางแห่งที่ได้รับความนิยมมากๆ บางครั้งต้องจองล่วงหน้าถึง 5 - 6 เดือนเลยทีเดียว นอกจากนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อทัวร์แม้ว่าโดยปกติแล้วโรงแรมต่างๆ จะมีบริการขายทัวร์แก่แขกที่เข้าพักอยู่แล้ว แต่แนะนำว่าเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่พลาดกิจกรรมใดๆ ควรจองทัวร์ไว้ล่วงหน้าจะดีที่สุด
 

กิจกรรม 

             กิจกรรมต่างๆ จะมีเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น คือช่วงเดือนกันยายน – เดือนเมษายนโดยคร่าวๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวควรจองทัวร์ล่วงหน้า เพราะบางครั้งหากจะไปซื้อเมื่อไปถึงแล้วอาจจะไม่มีทัวร์ตามวันและเวลาที่ต้องการ และบางกิจกรรมก็มีให้บริการเพียงบางวันต่อสัปดาห์เท่านั้น ทว่าวันเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวนั้นมีจำกัดและมีเที่ยวบินกลับที่แน่นอนไม่สามารถเลื่อนได้ การวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวล่วงหน้าจึงนับว่าจำเป็นอย่างยิ่ง     

             Aurora Hunting with Huskies ส่วนใหญ่เริ่มกิจกรรมเวลาประมาณ 20.00 น. โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

             Reindeer Sleigh Ride & Visit Sami Village ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง     

             Snowmobile & Ice Fishing ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

             Icebreaker Sampo ใช้เวลาประมาณ 3.30 ชั่วโมง

             Snow Castle ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความพอใจ

             Ski ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความพอใจ
 

การเตรียมความพร้อมเรื่องเครื่องแต่งกาย

             การแต่งกายเมื่อมาท่องเที่ยวและทำกิจกรรมฤดูหนาวในแลปแลนด์นั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะการแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมและให้ความอบอุ่นเพียงพอนั้นจะทำให้การท่องเที่ยวเป็นไปอย่างสนุกสนานและราบรื่น ซึ่งแม้ว่าการท่องเที่ยวไปกับทัวร์นั้นจะมีชุดกันหนาวให้บริการอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกส่วนของร่างกายเช่นใบหน้า หากนักท่องเที่ยวเตรียมความพร้อมก่อนไป ไม่ว่าจะเป็น แว่น (Over Glasses) ที่มีลักษณะใหญ่ๆ คล้ายแว่นดำน้ำ และผ้าบัฟสำหรับสวมใบหน้า ที่จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่บริเวณใบหน้า รวมถึงรองเท้าสำหรับเดินบนหิมะโดยเฉพาะที่พื้นจะมีลักษณะเป็นตุ่มๆ เพื่อการยึดเกาะพื้นที่ดีและกันลื่น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญทั้งสิ้น 

ข้อมูลอื่นๆ ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com/

                            เว็บไซต์การท่องเที่ยวแลปแลนด์ https://www.visitlapland.com

                            เว็บไซต์การท่องเที่ยวประเทศฟินแลนด์ https://www.visitfinland.com

                            เว็บไซต์เช่ารถในแลปแลนด์ https://www.rentalcars.com/th/region/fi/lapland/

                            เว็บไซต์ทัวร์เรือตัดน้ำแข็งและปราสาทหิมะ https://experience365.fi/icebreakersampo

                            เว็บไซต์ทัวร์ตกปลาน้ำแข็ง https://sealaplandsafaris.com/activity/ice-fishing-trip-by-snowmobiles

                            สกุลเงินที่ใช้ : ยูโร (EUR)

                            ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ https://www.xe.com/currencyconverter/    

                            สถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย https://finlandabroad.fi/web/tha/th-frontpage

                            ศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าประเทศฟินแลนด์ https://visa.finland.eu/thailand/thai/


อัตราค่าครองชีพ (DAILY COST)


สภาพอากาศ (WEATHER)

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

รวมที่เที่ยว 4 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โอเลซุนด์ ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางจากออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศ สู่เบอร์เกน (Bergen) ฟลอม (Flam) และเอลซุนด์ ( Alesund) เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เส้นทางสายนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับบ้านเมืองน่ารักๆ ทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของเทือกเขาสูงชัน น้ำตกที่ไหลเชี่ยว ฟยอร์ดที่ทอดยาว และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์

อ่านต่อ

รวมที่เที่ยว 3 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่แสนสวยงาม เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวมากมายที่พร้อมจะมอบความทรงจำสุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน การเดินทางจากออสโล (Oslo) สู่ทรุมเซอ (Tromso) และโลโฟเทน (Lofoten) นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองหลวงที่ทันสมัย ไปจนถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของอาร์กติก และหมู่เกาะที่สวยงามราวภาพวาด

อ่านต่อ

หมู่บ้านซอมมารอย เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซอมมารอย (Sommarøy) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตะวันตกของเมืองทรุมเซอ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์ อยู่ห่างจากเมืองทรุมเซอไปทางตะวันตกประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีหาดทรายขาวและทิวทัศน์สวยงาม

อ่านต่อ

มหาวิหารอาร์กติก เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารอาร์กติก (Arctic Cathedral) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดของเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และความหมายอันลึกซึ้ง ทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนทรุมเซอ

อ่านต่อ

มหาวิหารทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารทรุมเซอ (Tromso Cathedral) หรือที่รู้จักในชื่อ "Tromsdalen Church" เป็นโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ และการออกแบบตกแต่งภายในอันงดงาม

อ่านต่อ

ท่าเรือทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

ท่าเรือทรุมเซอ (Port of Tromsø) ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ท่าเรือแห่งนี้เป็นมากกว่าแค่จุดขึ้นลงเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของเมืองทรุมเซอ และเป็นประตูสู่ดินแดนอาร์กติกที่น่าตื่นตาตื่นใจ

อ่านต่อ

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน (Fjellheisen Cable Car) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ การนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาสโตรสไตเนิน (Storsteinen Mountain) จะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับวิวเมืองทรุมเซอและฟยอร์ดอันงดงามแบบ 360 องศา

อ่านต่อ

หมู่บ้านแฮมนอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านแฮมนอย (Hamnoy) ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) มีลักษณะโดดเด่นคือ “โรบูเอ้” สีแดง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่บนโขดหิน และมีฉากหลังเป็นภูเขา เป็นภาพที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด ของที่ระลึก และสื่อประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวต่างๆ

อ่านต่อ

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด (Nusfjord) คือหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านใต้ของเกาะ Flakstadøya ในอ่าวเวสฟยอร์เดน (Vestfjord) เขตเทศบาล Flakstad ของเมือง Lofoten ประเทศนอร์เวย์ หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ และอาจจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลกก็เป็นได้

อ่านต่อ

หมู่บ้านซาคริซอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาโอลสตินด์ (Olstind) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) และอีกหนึ่งลักษณะที่โดดเด่นคือหมู่บ้านนี้คือ “โรบูเอ้” สีเหลือง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่ตามริมฝั่งฟยอร์ด

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ