พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เมืองอินาริ ประเทศฟินแลนด์

  • อ่าน (3,438)
  • By Webmaster
  • 11:25:13 | 13 ส.ค. 2563

พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เมืองอินาริ ประเทศฟินแลนด์

Siida Sami Museum and Nature Centre, Inari, Finland

             พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ (Siida Sami Museum) และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ (Nature Centre) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องของวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเป็นมาของชาวซามิ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องเกี่ยวกับแสงเหนือหรือแสงออโรร่าที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงไว้ได้อย่างครบถ้วนและน่าสนใจอย่างยิ่ง


ประวัติ

             พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1959 โดยเปิดให้บริการแก่สาธารณะครั้งแรกในปี ค.ศ. 1963 อาคารพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บริเวณซึ่งเป็นพื้นที่ของหมู่บ้านอินาริ ส่วนหนึ่งของแลปแลนด์ (Lapland) นอกจากพิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติแล้วที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง (open air Inari Sami Museum) ที่เปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย

             เนื่องจากซีดาเป็นดินแดนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวซามิ (Sami) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในทวีปยุโรป มานานกว่า 9,000 ปี ประมาณการกันว่าปัจจุบันมีชาวซามิทั้งหมด 75,000 คน โดยส่วนใหญ่นั้นอาศัยอยู่ในประเทศนอร์เวย์ และมีบางส่วนที่ยังคงอาศัยอยู่ในภูมิภาคแลปแลนด์ของประเทศฟินแลนด์

             ผู้เชี่ยวชาญได้พบหลักฐานที่สำคัญทางโบราณคดีว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยที่แรกสุดของผู้ตั้งถิ่นฐานในแลปแลนด์ซึ่งก็คือชาวซามิ ซึ่งพิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติแห่งนี้เองที่เป็นสถานที่ที่จัดแสดงคอลเล็กชั่นซึ่งสามารถสะท้อนวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของชาวซามิดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าสนใจ การก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็สืบเนื่องมาจากวัตถุประสงค์เพื่อต้องการที่จะสนับสนุนตัวตนของคนโบราณเหล่านี้ที่มีมาอย่างยาวนานด้วยนั่นเอง


นิทรรศการที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆ ได้แก่
 

             ลำดับเวลาของธรรมชาติและวัฒนธรรมทางเหนือและการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์โลก (Timeline of Northern nature and culture and how it interlaced with global history)

             ประวัติศาสตร์โบราณคดีของภูมิภาค (Archaeological history of the region)

             ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับผู้คนในแถบอาร์กติกรวมถึงชาวเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้เลี้ยงกวางเรนเดียร์ (Introduction to the Arctic Peoples as well as the Northern Eurasian Reindeer Herders)

             วิวัฒนาการของภาษา (Sami Evolution of the Sami languages)

             วัฒนธรรม Sami (Sami culture)

             สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของ (Northern Lapland Northern Lapland’s unique natural environment)

             การเอาชีวิตรอดในขั้วโลกเหนือ (Survival in the Arctic extremes)

             วัฏจักรตามฤดูกาลและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในภูมิภาค (Seasonal cycles and natural phenomena in the region)

             ตัวตนของชาวซามิ (Sami identity)

ในช่วงฤดูร้อนของทางเหนือจะเป็นช่วงที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเปิดให้บริการรวมถึง

             บ้านพัก Sami (Sami dwellings)

             การล่าสัตว์และการตกปลา (Hunting and fishing practices)

             อาคารแบบดั้งเดิมของ (Authentic Tirro Farm buildings)

             ศาลของ Mirham Hut (Mirham Hut courthouse)

             บ้านพักซามิ, เต็นท์ และตาดกระท่อม (Sami lodges, tents, and sod huts)

             กับดักล่าสัตว์ (Hunting traps)

             เรือและรถเลื่อน (Boats and sleds)

             ที่พิพิธภัณฑ์มีบริการนำเที่ยวภายในพิพิธภัณฑ์ มีร้านอาหาร คาเฟ่ บรรยากาศสบายๆ ให้บริการอาหาร Lappish ดั้งเดิมแบบสดใหม่สำหรับมื้อกลางวันด้วย


ซีดา (Siida) ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ เป็นดินแดนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวซามิมานานกว่า 9,000 ปี


ตู้จัดแสดงโมเดลสัตว์จำลองภายในพิพิธภัณฑ์


ตู้จัดแสดงเกี่ยวกับธรณีวิทยา


พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติเปิดให้บริการแก่สาธารณะครั้งแรกในปี ค.ศ. 1963


ดอกไม้และพืชพันธุ์ท้องถิ่นของแลปแลนด์


เครื่องแต่งกายของชาวซามิ  


ข้าวของเครื่องใช้โบราณที่ชาวซามิใช้ในการดำรงชีพ  


บรรยากาศบางส่วนของนิทรรศการ 


การเดินทางจาก Helsinki ไป Ivalo

             สนามบินที่อยู่ใกล้กับ Siida Sami Museum and Nature Centre มากที่สุดคือสนามบิน Ivalo (IVL) เมืองอิวาโล (Ivalo) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคแลปแลนด์ (Lapland) โดยตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศฟินแลนด์ ห่างจากเมืองหลวงคือเฮลซิงกิ (Helsinki) ราว 1,094 กิโลเมตร จากประเทศไทยไม่มีเที่ยวบินตรง นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปยังเมืองอิวาโลจะต้องต่อเครื่องไปจากเฮลซิงกิ ส่วนการเดินทางโดยรถยนต์นั้นใช้เวลาที่ยาวนาน

             - เครื่องบิน (Plane) การเดินทางโดยเครื่องบินจากสนามบิน Vantaa เฮลซิงกิ (HEL) ไปยังสนามบิน Ivalo (IVL) ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที

             - รถยนต์ (Car) การเดินทางจากเฮลซิงกิไปอิวาโลทางรถยนต์โดยใช้ถนนสาย E75 มีระยะระยะทาง 1,094 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง 30 นาที


การเดินทางไป Siida Sami Museum and Nature Centre

             - รถยนต์ (Car) การเดินทางโดยรถยนต์จากสนามบิน Ivalo (IVL) ไป Siida Sami Museum and Nature Centre โดยใช้ถนนสาย E75 มีระยะทาง  49.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที

             ทั้งนี้ การเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ในแลปแลนด์นั้น วิธีที่สะดวกที่สุดคือการเดินทางไปกับทัวร์ หรือเช่ารถขับ เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางอย่างยิ่งหากต้องเดินทางโดยรถสาธารณะ ซึ่งตารางเวลาการเดินทางนั้นไม่ได้มีเยอะและเส้นทางการเดินรถไม่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรอรถท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นโดยที่ไม่มีเครื่องทำความอุ่นเหมือนเดินทางไปกับทัวร์หรือรถเช่าส่วนตัวนั้น จะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวถูกลดทอนความสนุก และเสียเวลาไปมากกว่าที่ควรจะเป็น


เวลาทำการเปิด – ปิด

             เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น.


อัตราค่าเข้าชม

             ตั๋วเข้าชมราคา 10 ยูโร


สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยว
Siida Sami Museum and Nature Centre

             ภายในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆ มากมายที่ไม่ควรพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือนิทรรศการเกี่ยวกับการเกิดปรากฏการณ์แสงเหนือนั่นเอง เนื่องจากแลปแลนด์ (Lapland) นั้นเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากและมีชื่อเสียงในเรื่องของการเกิดปรากฏการณ์แสงเหนือ ภายในพิพิธภัณฑ์จึงได้มีการจัดนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับแสงเหนือ (Aurora)ไว้อย่างละเอียดและน่าสนใจทั้งข้อมูลและภาพประกอบ ซึ่งแนะนำว่าหากนักท่องเที่ยวมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อนที่จะออกไปล่าแสงเหนือน่าจะทำให้เข้าใจที่มาของการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ได้อย่างดีและทำให้การเฝ้ารอชมแสงเหนือนั้นเป็นไปโดยสนุกสนานยิ่งขึ้น


นิทรรศการถาวรที่จัดแสดงเกี่ยวกับการเกิดปรากฏการณ์แสงเหนือหรือแสงออโรร่า

             แสงเหนือ (Aurora) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน โดยมักจะขึ้นในบริเวณประเทศแถบขั้วโลก ได้แก่ ประเทศสวีเดน (Sweden) ประเทศรัสเซีย (Russia) ประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา (Alaska) ประเทศแคนนาดา (Canada) ประเทศนอร์เวย์ (Norway) ประเทศกรีนแลนด์ (Greenland) และประเทศฟินแลนด์ (Finland)

             คำเรียกว่า แสงเหนือ หรือ แสงใต้ นั้นขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดว่าเป็นแสงที่เกิดขึ้นที่ขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ ปรากฏการออโรราเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นในอวกาศที่ใกล้พื้นโลก โดยมีความสูงจากพื้นโลก (altitudes) ประมาณ 100 ถึง 300 กิโลเมตร ตามประวัตินั้นแสงเหนือถูกเรียกด้วยหลากหลายชื่อที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ชื่อวิทยาศาสตร์ของปรากฏการณ์นี้ คือ ออโรรา บอเรลลีส (Aurora Borealis) ซึ่งเป็นภาษาละติน หมายถึง รุ่งอรุณสีแดงแห่งทิศเหนือ ซึ่งตั้งชื่อโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) 

             ปรากฏการณ์แสงเหนือเกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่างๆ กันออกไป ขึ้นอยู่กับแสงนั้นเกิดขึ้นในช่วงชั้นบรรยากาศไหน และเกิดจากก๊าซชนิดใด โดยในระดับความสูงที่เหนือชั้นบรรยากาศ 100 กิโลเมตรขึ้นไปจะประกอบด้วยโมเลกุลไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่

             สีเขียวอมเหลือง เกิดในช่วง 100 - 200 กิโลเมตร เป็นช่วงที่มีโมเลกุลออกซิเจนหนาแน่น (สามารถเห็นแสงเหนือสีนี้ได้บ่อยๆ)

             สีฟ้าและสีม่วง เกิดในช่วงที่ต่ำกว่า 120 กิโลเมตร เป็นช่วงที่มีโมเลกุลของไนโตรเจนหนาแน่นกว่าออกซิเจน

             สีแดง เกิดในช่วงที่ความสูงเกิน 200 กิโลเมตร


ปรากฏการณ์แสงเหนือเกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่างๆ


ในระดับความสูงเหนือชั้นบรรยากาศ 100 กิโลเมตรขึ้นไปจะประกอบด้วยโมเลกุลไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่


แสงเหนือสีที่สามารถเห็นได้บ่อยๆ คือสีเขียวอมเหลือง ซึ่งเกิดในช่วง 100 - 200 กิโลเมตร


สีของแสงเหนือที่จะปรากฏนั้นขึ้นอยู่กับว่าเกิดขึ้นในช่วงชั้นบรรยากาศไหน และเกิดจากก๊าซชนิดใด

             ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเกิดแสงเหนือจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวของทางขั้วโลก  โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายน - มีนาคม และอาจเลยไปถึงเมษายน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี นอกจากนี้หากได้ไปเยือนขั้วโลกในขณะที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆ มีความมืดมิดสนิท มีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดมลพิษ และอยู่ระหว่างช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00 - 24.00 น. ก็จะยิ่งมีโอกาสในการเห็นแสงเหนือมากยิ่งขึ้น

             ทว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปล่าแสงเหนือ หากต้องการความแม่นยำสำหรับโอกาสที่จะได้เห็นแสงเหนือมากที่สุด แนะนำให้ไปล่าแสงเหนือในช่วงที่ผ่านวัฏจักรจุดสุริยะ (Sun Spot) มาแล้ว 2 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่แสงเหนือจะเกิดขึ้นชัดเจนที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับแสงลงจนกว่าจะเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อครบรอบวัฏจักร 11 ปี แต่วัฏจักรดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะจะเกิดขึ้นทุกๆ 11 ปีเท่านั้น โดยช่วงที่ผ่านวัฏจักรจุดสุริยะไปครั้งล่าสุดคือรอยต่อของปี ค.ศ. 2013 - ค.ศ.  2014

             แม้ว่าแสงเหนือจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สามารถคำนวณการเกิดได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีแอพลิเคชั่นต่างๆ อยู่มากมายให้สามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้อย่างสะดวก แต่ก็ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่าจะได้ชมแสงเหนือร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่  ฉะนั้นการไปท่องเที่ยวล่าแสงเหนือนี้จึงถือเป็นความตื่นเต้นท้าทายอย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องลุ้นกันเอาเองว่าโชคจะเข้าข้างหรือไม่


เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว

             นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยว Siida Sami Museum and Nature Centre ได้ตลอดทั้งปี


ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกภายในพิพิธภัณฑ์

 

             นักท่องเที่ยวที่สนใจไปเที่ยวชม Siida Sami Museum and Nature Centre สามารถศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่

                        พิพิธภัณฑ์ซีดา ซามิ และศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เมืองอินาริ ประเทศฟินแลนด์

                        (Siida Sami Museum and Nature Centre, Inari, Finland)

                        ระดับความนิยม :

                        อัตราค่าเข้าชม : ตั๋วเข้าชมราคา 10 ยูโร

                        เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น.

                        ตั้งอยู่ที่ : Siida, Inarintie 46, 99870 Inari, Finland

                        โทรศัพท์ : (+358) 400 898 212

                        เว็บไซต์https://siida.fi/en

                        ข้อมูลอื่นๆที่ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com/

                                        เว็บไซต์การท่องเที่ยวเมืองอินาริ https://visitinari.fi

                                        เว็บไซต์การท่องเที่ยวแลปแลนด์ https://www.visitlapland.com

                                        เว็บไซต์การท่องเที่ยวประเทศฟินแลนด์ https://www.visitfinland.com

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

รวมที่เที่ยว 4 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โอเลซุนด์ ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางจากออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศ สู่เบอร์เกน (Bergen) ฟลอม (Flam) และเอลซุนด์ ( Alesund) เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เส้นทางสายนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับบ้านเมืองน่ารักๆ ทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของเทือกเขาสูงชัน น้ำตกที่ไหลเชี่ยว ฟยอร์ดที่ทอดยาว และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์

อ่านต่อ

รวมที่เที่ยว 3 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่แสนสวยงาม เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวมากมายที่พร้อมจะมอบความทรงจำสุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน การเดินทางจากออสโล (Oslo) สู่ทรุมเซอ (Tromso) และโลโฟเทน (Lofoten) นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองหลวงที่ทันสมัย ไปจนถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของอาร์กติก และหมู่เกาะที่สวยงามราวภาพวาด

อ่านต่อ

หมู่บ้านซอมมารอย เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซอมมารอย (Sommarøy) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตะวันตกของเมืองทรุมเซอ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์ อยู่ห่างจากเมืองทรุมเซอไปทางตะวันตกประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีหาดทรายขาวและทิวทัศน์สวยงาม

อ่านต่อ

มหาวิหารอาร์กติก เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารอาร์กติก (Arctic Cathedral) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดของเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และความหมายอันลึกซึ้ง ทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนทรุมเซอ

อ่านต่อ

มหาวิหารทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารทรุมเซอ (Tromso Cathedral) หรือที่รู้จักในชื่อ "Tromsdalen Church" เป็นโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ และการออกแบบตกแต่งภายในอันงดงาม

อ่านต่อ

ท่าเรือทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

ท่าเรือทรุมเซอ (Port of Tromsø) ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ท่าเรือแห่งนี้เป็นมากกว่าแค่จุดขึ้นลงเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของเมืองทรุมเซอ และเป็นประตูสู่ดินแดนอาร์กติกที่น่าตื่นตาตื่นใจ

อ่านต่อ

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน (Fjellheisen Cable Car) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ การนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาสโตรสไตเนิน (Storsteinen Mountain) จะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับวิวเมืองทรุมเซอและฟยอร์ดอันงดงามแบบ 360 องศา

อ่านต่อ

หมู่บ้านแฮมนอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านแฮมนอย (Hamnoy) ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) มีลักษณะโดดเด่นคือ “โรบูเอ้” สีแดง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่บนโขดหิน และมีฉากหลังเป็นภูเขา เป็นภาพที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด ของที่ระลึก และสื่อประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวต่างๆ

อ่านต่อ

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด (Nusfjord) คือหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านใต้ของเกาะ Flakstadøya ในอ่าวเวสฟยอร์เดน (Vestfjord) เขตเทศบาล Flakstad ของเมือง Lofoten ประเทศนอร์เวย์ หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ และอาจจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลกก็เป็นได้

อ่านต่อ

หมู่บ้านซาคริซอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาโอลสตินด์ (Olstind) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) และอีกหนึ่งลักษณะที่โดดเด่นคือหมู่บ้านนี้คือ “โรบูเอ้” สีเหลือง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่ตามริมฝั่งฟยอร์ด

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ