- หน้าแรก
- ท่องเที่ยวต่างประเทศ
- มหาวิหารซานมาร์โค และ พิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
มหาวิหารซานมาร์โค และ พิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

- อ่าน (4,417)
- By Webmaster
- 12:50:07 | 29 เม.ย. 2563
มหาวิหารซานมาร์โค และ พิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
Basilica di San Marco & Museo di San Marco, Venice, Italy
มหาวิหารซานมาร์โคตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โค
มหาวิหารซานมาร์โค หรือ มหาวิหารเซนต์มาร์ค (Basilica di San Marco / St. Mark's Basilica) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของจัตุรัสเปียซซาซานมาร์โค หรือ จตุรัสเซนต์มาร์ค (Piazza San Marco / St. Mark's Square) มหาวิหารแห่งนี้เป็นมหาวิหารประจำเมืองเวนิส ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานร่างของนักบุญซานมาร์โค หรือ นักบุญมาร์ค อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ที่นี่จึงเป็นมหาวิหารเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี เป็นศูนย์รวมใจของคริสตศาสนิกชน และเป็นแลนด์มาร์กที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานที่สวยงามล้ำค่า โดดเด่นด้วยรูปปั้นนักบุญมาร์คที่ด้านบนจั่วและสัญลักษณ์สิงโตทองมีปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส นอกจากนี้ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค หรือ พิพิธภัณฑ์เซนต์มาร์ค (Museo di San Marco / St. Mark’s Museum) ที่เก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุ และศิลปะเชิงประวัติศาสตร์มากมายที่หาดูได้ยาก ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิสที่คุ้มค่าต่อการมาเที่ยวชม
แผนที่ตั้งมหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco & Museo di San Marco) เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
ประวัติ
มหาวิหารซานมาร์โค หรือ มหาวิหารเซนต์มาร์ค สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญมาร์โค หรือ นักบุญมาร์ค (San Marco Evangelista / St. Mark the Evangelist) หนึ่งในสิบสองอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เป็นอัครทูตเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยังเมืองต่างๆ ในดินแดนยุโรปและตะวันออกกลางในช่วงต้นคริสตกาล และยังเป็นผู้ประพันธ์เนื้อหาส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์อีกด้วย ในตอนที่ท่านเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยังตะวันออกกลาง การเผยแพร่ศาสนาในระยะแรกเป็นไปได้ด้วยดี ท่านได้ก่อตั้งโบสถ์ขึ้นในเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในประเทศอียิปต์ (Egypt) และดำรงตำแหน่งบิชอปคนแรก แต่แล้วในช่วงปีค.ศ. 68 เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามขึ้น ท่านนักบุญถูกจับกุมตัวและประหารชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ยังสุสานที่โบสถ์แห่งนั้นนับแต่นั้นมา
เวลาผ่านไปหลายร้อยปี จนกระทั่งในปีค.ศ. 828 นายบูโอโน ชาวเกาะมาลาม็อคโค (Buono da Malamocco) และนายรัสทิโค จากเขตทอร์เซลโล่ (Rustico da Torcello) สองพ่อค้าชาวเวเนเชียนได้เดินทางไปทำธุระยังเมือง อเล็กซานเดรีย และได้แวะสักการะร่างของนักบุญมาร์คที่โบสถ์ในเมืองนั้น และได้รู้ข่าวร้ายว่าอีกไม่นานโบสถ์แห่งนี้กำลังจะถูกทางการอาหรับยึดครองและทุบทำลายเพื่อสร้างเป็นมัสยิด และยังมีแผนที่จะนำเอาหินอ่อนและเสาของโบสถ์คริสต์นี้ไปสร้างพระราชวังในเมืองบาบิลอนอีกด้วย พวกเขาจึงตัดสินใจวางแผนขนย้ายร่างของนักบุญมาร์คออกมาจากโบสถ์เพื่อกลับไปยังเมืองเวนิส โดยสลับเอาศพอื่นไปใส่ไว้แทน แล้วย้ายเอาร่างของนักบุญมาร์คไปใส่ไว้ในตะกร้าคลุมด้วยกองกะหล่ำปลีกับเนื้อหมู ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของศาสนาอิสลาม พวกเขาจึงผ่านด่านตรวจที่ท่าเรือมาได้อย่างง่ายดายเพราะชาวมุสลิมมักหลีกเลี่ยงเนื้อหมู ด้วยแผนการนี้พวกเขาจึงนำตะกร้าที่ซ่อนร่างนักบุญมาร์คขึ้นเรือกลับมายังเมืองเวนิสได้สำเร็จในที่สุด พวกเขานำร่างนักบุญมาร์คมาส่งยังเมืองเวนิสโดยสวัสดิภาพในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 828 โดย Doge Giustiniano Particiaco เจ้าเมืองเวนิสในตอนนั้นทรงรับร่างของนักบุญมาร์คไว้ และนำไปประดิษฐานไว้ชั่วคราวที่พระราชวัง Ducale Palace ในระหว่างรอการก่อสร้างมหาวิหารซานมาร์โค
การก่อสร้างมหาวิหารได้เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1063 ในช่วงของราชวงศ์ Doge Domenico Contarini มหาวิหารนี้สร้างในรูปแบบผสมผสานของสถาปัตยกรรมอิตาเลียนโกธิก (Italian Gothic architecture) สถาปัตยกรรมไบเซนไทน์ (Byzantine architecture) และสถาปัตยกรรมเวเนเชียนโกธิก (Venetian Gothic architecture) และยังมีการตกแต่งภายในด้วยกระจกโมเสก ด้านบนเป็นหลังคาโดมจำนวนห้าโดม นอกจากนี้ที่บนยอดจั่วของหลังคาด้านหน้าของมหาวิหารแห่งนี้ยังตกแต่งด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์คที่ประทับอยู่บนยอดอย่างโดดเด่น และข้างใต้รูปปั้นนักบุญมาร์คจะเป็นรูปปั้นสิงโตทองที่ชื่อว่า “The Lion of Saint Mark” ซึ่งเป็นรูปปั้นสิงโตมีปีกถือดาบด้วยอุ้งเท้าและถือพระคัมภีร์ที่จารึกข้อความว่า “Pax Tibi Marce Evangelista Meus” (หมายถึง Peace to You Oh Mark My Evangelist) ซึ่งเป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญมาร์ค และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส ซึ่งสิงโตศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายในเชิงพลังอำนาจ เกียรติ และความกล้าหาญ (ซึ่งเราจะพบสัญลักษณ์สิงโตศักดิ์สิทธิ์นี้ตามสถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงโลโก้บริษัทบางแห่งของประเทศอิตาลี) มหาวิหารสร้างแล้วเสร็จในปีค.ศ. 1094 และร่างของนักบุญมาร์คก็ได้รับการประดิษฐานไว้ในสุสานหินอ่อนด้านล่างแท่นบูชา และมีการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงนักบุญมาร์คในวันที่ 25 เมษายนของทุกปี มหาวิหารซานมาร์โคเป็นมหาวิหารหลวงมาหลายร้อยปี จนกระทั่งได้รับการสถาปนาให้เป็นมหาวิหารประจำเมืองเวนิสนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1807 เป็นต้นมา นอกจากนี้ มหาวิหารนี้ยังมีชื่อเล่นว่า Chiesa d'Oro มีความหมายว่า Church of Gold หรือ โบสถ์ทองคำ อีกด้วย
ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค หรือ พิพิธภัณฑ์เซนต์มาร์ค สร้างขึ้นในช่วงปลายของศตวรรษที่ 19 เป็นสถานที่เก็บรักษาและจัดแสดงศิลปะเชิงประวัติศาสตร์หลากหลายประเภท โดยผลงานที่มีชื่อเสียงที่จัดแสดงที่นี่ก็อย่างเช่น รูปปั้นควอดริกา (Quadriga) และชิ้นส่วนของแท่นบูชาที่ชื่อว่า Weekday Altar-Piece ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงกลางของศควรรษที่ 14 ศิลปะที่ใช้ตกแต่งแท่นบูชาเป็นฝีมือของ Paolo Veneziano เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของมหาวิหาร และยังมีส่วนจัดแสดงพรมของชาวเปอร์เซียน (Persian carpets) โบราณวัตถุทางศาสนา เศษกระจกโมเสกโบราณ และภาพเขียนที่ถ่ายทอดเรื่องราวของมหาวิหารและทางศาสนา นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงที่ชื่อว่า Pala d’oro ที่จัดแสดงแท่นบูชาอันเก่าแก่ และคลังสมบัติ ที่เก็บรักษาและจัดแสดงสมบัติล้ำค่าโบราณมากมาย ด้วยเหตุนี้ มหาวิหารซานมาร์โคจึงเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองเวนิสที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากตลอดทั้งปี
มหาวิหารนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมอิตาเลียนโกธิก สถาปัตยกรรมไบเซนไทน์ และสถาปัตยกรรมเวเนเชียนโกธิก มีลักษณะของเสาหินและซุ้มโค้ง
ด้านบนประตูแต่ละบานตกแต่งด้วยภาพเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนาคริสต์
ระเบียงด้านบนประดับด้วยรูปปั้นม้าทองสัมฤทธิ์สองคู่รวมสี่ตัวเรียกว่า Triumphal Quadriga เหนือขึ้นไปเป็นสัญลักษณ์สิงโตทองเซนต์มาร์ค
ภาพเขียนเก่าแก่ด้านบนซุ้มประตูถ่ายทอดความเป็นมาของมหาวิหาร
ภาพเขียนเก่าแก่ด้านบนซุ้มประตูถ่ายทอดความเป็นมาของมหาวิหาร
ทัศนีภาพจากด้านบนระเบียงของหมาวิหารซานมาร์โค บริเวณด้านหลังรูปปั้นม้า สามารถมองเห็นจัตุรัสซานมาร์โคได้ทั่วทั้งบริเวณ
Triumphal Quadriga รูปปั้นม้าทองสัมฤทธิ์ทั้งสี่
จากมุมนี้ สามารถมองเห็นหอนาฬิกาเซนต์มาร์คที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของมหาวิหารได้อย่างชัดเจน
หอนาฬิกาเซนต์มาร์คประดับด้วยรูปปั้นสิงโตสิงโตเซนต์มาร์คสัญลักษณ์แห่งเวนิส (รูปซ้าย) นาฬิกามีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ของสิบสองราศี กลุ่มดาว และเลขโรมันยี่สิบสี่ตัว (รูปขวา)
ทัศนียภาพฝั่งอาคารด้านเหนือของจัตุรัสเมื่อมองจากระเบียงของมหาวิหาร
ทัศนียภาพทางฝั่งทิศใต้จะมองเห็นจัตุรัสซานมาร์โคที่ติดริมฝั่งทะเล และพระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเลทางด้านซ้ายของภาพ และอาคารหอสมุดที่อยู่ตรงกันข้ามพระราชวัง
หอระฆังซานมาร์โคเมื่อมองจากด้านข้างอาคารมหาวิหาร
การเดินทางจากสนามบินเวนิสมาร์โคโปโล (Venice Marco Polo Airport / Aeroporto di Venezia-Marco Polo) ไปยังสถานีรถไฟเวเนเซียซานตาลูเซีย (Stazione di Venezia Santa Lucia)
- รถยนต์ (Car) จาก Venice Marco Polo Airport ไปยัง Stazione di Venezia Santa Lucia มีระยะทางประมาณ 13.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที
- รถประจำทาง (Bus) จาก Venice Marco Polo Airport ให้เดินมายังท่ารถ Aeroporto Marco Polo เพื่อขึ้นรถบัสสาย Venezia P. Roma (ออกทุก 20 นาที) มุ่งหน้าไปยังเมือง Venice โดยเมื่อไปถึงเมืองเวนิส รถบัสจะจอดให้ลงบริเวณท่ารถ Venezia Piazzale Roma ATVO ที่จัตุรัสโรมา (Piazzale Roma) จากนั้นเดินต่อไปประมาณ 450 เมตร ก็จะถึงยัง Stazione di Venezia Santa Lucia มีระยะทางโดยรวมประมาณ 13.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที
หมายเหตุ : Stazione di Venezia Santa Lucia เป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองเวนิสที่มีเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ ในประเทศอิตาลี รวมถึงเมืองต่างๆ ในประเทศแถบยุโรป แต่ขนส่งสาธารณะหลักภายในเมืองเวนิส จะใช้การเดินทางทางน้ำโดย “เรือประจำทาง” ที่เรียกว่า “Water-bus” ซึ่งมีท่าเรือครอบคลุมทั่วเมือง โดยท่าเรือบริเวณด้านหน้า Stazione di Venezia Santa Lucia มีจำนวน 4 ท่าแยกตามเส้นทางเดินเรือ ได้แก่ Ferrovia “A”, Ferrovia “B”, Ferrovia “C” และ Ferrovia “D”
การเดินทางจากสถานีรถไฟเวเนเซียซานตาลูเซีย (Stazione di Venezia Santa Lucia) ไปยังมหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco & Museo di San Marco)
- เรือ (Ferry) จาก Stazione di Venezia Santa Lucia เดินไปยังท่าเรือ Ferrovia D เพื่อขึ้น Water-bus สาย 1 จากนั้นลงที่ท่าเรือ San Marco-Zaccaria และเดินต่อไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงยัง Basilica di San Marco & Museo di San Marco ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 43 นาที
เวลาเปิด-ปิด
วันที่ 29 ตุลาคม - 15 เมษายน
โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)
พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น.
ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)
ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)
วันที่ 16 เมษายน - 28 ตุลาคม
โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)
พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น.
ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)
ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)
นกท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณจัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โคซึ่งเป็นบริเวณที่มีฝูงนกจำนวนมาก
อัตราค่าเข้าชม
ภายในโบสถ์ไม่เสียค่าเข้าชม
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 5 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 2.50 Euro
ค่าเข้าชมส่วน Pala d’oro : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 2 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1 Euro
ค่าเข้าชมส่วน Treasury : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 3 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1.5 Euro
ความสวยงามของมหาวิหารและหอนาฬิกาในช่วงเช้ามืด
เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว
ตลอดทั้งปี
นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยว Basilica di San Marco และ Museo di San Marco สามารถศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
มหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
(Basilica di San Marco & Museo di San Marco, Venice, Italy)
ระดับความนิยม :
อัตราค่าเข้าชม : ภายในโบสถ์ไม่เสียค่าเข้าชม
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 5 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 2.50 Euro
ค่าเข้าชมส่วน Pala d’oro : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 2 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1 Euro
ค่าเข้าชมส่วน Treasury : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 3 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1.5 Euro
เวลาเปิด-ปิด : วันที่ 29 ตุลาคม - 15 เมษายน
โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)
พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น.
ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)
ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)
วันที่ 16 เมษายน - 28 ตุลาคม
โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)
พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น.
ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)
ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว : ตลอดทั้งปี
สถานที่ตั้ง : เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
โทรศัพท์ : (+39) 041 2708311
เว็บไซต์ : http://www.basilicasanmarco.it/
ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com/th/it/italy-weather
เว็บไซต์ทางการของเมืองเวนิส https://www.veneziaunica.it/en
เว็บไซต์ทางการของประเทศอิตาลี http://www.italia.it/en/home.html
เว็บไซต์การท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี https://www.italyguides.it/en
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

14 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดเนฟเชียร์ ประเทศตุรกี
หากเอ่ยถึงการท่องเที่ยวประเทศตุรกี เชื่อว่าหนึ่งในภาพที่หลายๆ คนมักจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ คือภาพของบอลลูนลมร้อนหลากสีสันที่ลอยละล่องอยู่เต็มน่านฟ้า เหนือภูมิประเทศแปลกตาด้วยกลุ่มหินรูปทรงต่างๆ และสถานที่ที่ว่านี้ก็คือเนฟเชียร์ จังหวัดทางภาคกลางของตุรกีที่มีเมืองดังอย่างคัปปาโดเชียเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว ในบทความนี้ Palanla ได้รวบรวมเอา 14 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดเนฟเชียร์มาให้ออกเดินทางสำรวจไปพร้อมๆ กัน
อ่านต่อ
8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดอิซเมียร์ ประเทศตุรกี
อิซเมียร์ (Izmir) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศตุรกี และเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากอิสตันบูล ซึ่งไม่เพียงแต่ความเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเท่านั้น ทว่าอิซเมียร์ยังรุ่มรวยไปด้วยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เชื่อว่า 8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอิซเมียร์ที่ Palanla ได้คัดสรรมาให้ได้ชมในบทความนี้จะทำให้คุณรู้จักอิซเมียร์มากขึ้นกว่าที่เคยอย่างแน่นอน
อ่านต่อ
7 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดเดนิซลี ประเทศตุรกี
เดนิซลี (Denizli) จังหวัดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกีที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งให้สำรวจ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติมรดกโลกชื่อดังอย่างปามุคคาเล่ หรือเมืองโบราณเฮียราโพลิส และเมืองโบราณเลาดิเซียซึ่งเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในสมัยโรมันและไบแซนไทน์มาก่อน Palanla ได้รวบรวม 7 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเดนิซลีมาให้ได้ชมกัน
อ่านต่อ
10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศไอร์แลนด์เหนือ
ประเทศไอร์แลนด์เหนือตั้งอยู่ในทวีปยุโรปและเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์เหนือมีชื่อเสียงทางด้านภูมิประเทศที่สวยงามและทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันน่าหลงใหล อีกทั้งยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีพิพิธภัณฑ์และสถาปัตยกรรมต่างๆ ให้เที่ยวชมมากมายโดยมีสถานที่ท่องเที่ยวกระจายตัวอยู่ตามเมืองต่างๆ อย่างเช่นเมืองเบลฟาสต์ เมืองลอนดอนเดอร์รี่ และเมืองแถบชายฝั่งทะเล ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ก็อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ไททานิกเบลฟาสต์ที่จัดแสดงเรื่องราวของเรือไททานิกอันโด่งดัง และไจแอนท์คอสเวย์ที่ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโก นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยทาง Palanla ได้รวบรวมมาฝากทุกท่านไว้ในบทความนี้
อ่านต่อ
สะพานเชือกคาร์ริก-อะ-รีด เขตอนุรักษ์แห่งชาติ ชายฝั่งคอสเวย์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ
สะพานเชือกคาร์ริก-อะ-รีด เขตอนุรักษ์แห่งชาติ (National Trust Carrick-a-Rede) เป็นสะพานเชือกความยาว 20 เมตรที่เชื่อมระหว่างพื้นที่ชายฝั่งกับเกาะหินคาร์ริก-อะ-รีดที่อยู่ตรงข้ามกัน ที่นี่เป็นจุดชมทิวทัศน์มหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่พร้อมกับเส้นทางผจญภัยบนสะพานเชือกที่ทอดข้ามข้ามเหวลึก 30 เมตรไปสำรวจเกาะเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่ตั้งของกระท่อมชาวประมงเก่าแก่ที่มีอายุราวสี่ร้อยกว่าปี ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในจุดชมวิวและจุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
อ่านต่อ
ปราสาทเบลฟาสต์ เมืองเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ
ปราสาทเบลฟาสต์ (Belfast Castle) เป็นคฤหาสน์เก่าแก่หลังใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบสกอตต์บารอนอย่างงดงาม ถือเป็นแลนด์มาร์กขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นบนเนินเขาเคฟฮิลล์ในเมืองเบลฟาสต์ นอกจากปราสาทเบลฟาสต์จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ที่นี่ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ เช่น งานแต่งงานและการประชุมทางธุรกิจ นอกจากนี้ ด้วยพื้นที่เนินเขาที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 120 เมตร จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดชมวิวเมืองเบลฟาสต์จากมุมสูงอีกด้วย
อ่านต่อ
ตลาดเซนต์จอร์จ เมืองเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ
ตลาดเซนต์จอร์จ (St George’s Market) เป็นตลาดในร่มสไตล์วิคตอเรียนแห่งสุดท้ายที่ยังเปิดทำการอยู่ในเมืองเบลฟาสต์ ตลาดแห่งนี้เปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ช่วงสายถึงบ่ายสอง โดยมีแผงขายอาหาร สินค้าแฮนด์เมด และสินค้าหลากหลายประเภท ท่ามกลางดนตรีสดและบรรยากาศที่คึกคัก ตลาดแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองในทุกสุดสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดเซนต์จอร์จยังได้รับรางวัลทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศทางด้านผลผลิตสดใหม่ในท้องถิ่นและบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นตลาดในร่มขนาดใหญ่ที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักรประจำปี 2023 จาก NABMA Great British Market Awards อีกด้วย
อ่านต่อ
กำแพงเมืองเดอร์รี เมืองลอนดอนเดอร์รี่ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ
กำแพงเมืองเดอร์รี (The Derry Walls) เป็นอนุสรณ์สถานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอร์แลนด์เหนือ และเป็นกำแพงเมืองที่ยาวที่สุดและมีความสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบที่เหลืออีก 30 เมืองในไอร์แลนด์อีกด้วย กำแพงเมืองเดอร์รี่อยู่ใกล้กับแม่น้ำฟอยล์ มีประตูเมือง 7 ประตู ภายในกำแพงเมืองเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ปราสาท ศาลากลาง และโบสถ์ ไฮไลท์ของกำแพงเมืองแห่งนี้คือปืนใหญ่จำนวน 22 กระบอกที่เรียงรายไปตามป้อมปราการของกำแพงเมือง ปืนเหล่านี้เป็นปืนโบราณจากศตวรรษที่ 16, 17 และ 18 โดยมีปืนโรริงเมกอันโด่งดังตั้งอยู่ที่ป้อมปราการที่อยู่ใกล้ประตูบิชอป กำแพงเมืองเดอร์รี่จึงถือเป็นแหล่งมรดกที่มีความสำคัญระดับชาติและเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ควรแวะเที่ยวชม
อ่านต่อ
11 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ซูริค (Zurich) หนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของยุโรปที่นักเดินทางทั่วโลกใฝ่ฝัน เพราะนอกจากมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติอันงดงามบริสุทธิ์แล้ว ยังรุ่มรวยไปด้วยประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม Palanla ได้รวบรวมเอา 11 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในซูริคมาฝากกัน
อ่านต่อ
อลาคาติ จังหวัดอิซเมียร์ ประเทศตุรกี
อลาคาติ (Alacati ) เมืองตากอากาศในบรรยากาศสไตล์กรีก โดดเด่นด้วยถนนแคบๆ กับบ้านหินแบบดั้งเดิมทาสีขาว ฟ้า ตกแต่งด้วยสีสันสดใส และกังหันลม ให้กลิ่นอายของซานโตรินี สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศกรีซ
อ่านต่อ