- หน้าแรก
- ท่องเที่ยวในประเทศ
- 3 วัน 2 คืน อุบลราชธานี : เที่ยวอุทยานลานหินผา ตระการตาวัดป่าเรืองแสง เยือนแก่งหินถิ่นลำน้ำโขง
3 วัน 2 คืน อุบลราชธานี : เที่ยวอุทยานลานหินผา ตระการตาวัดป่าเรืองแสง เยือนแก่งหินถิ่นลำน้ำโขง
- อ่าน (5,397)
- ByWebmaster
- 17:02:40 | 21 เม.ย. 2564
3 วัน 2 คืน อุบลราชธานี
เที่ยวอุทยานลานหินผา ตระการตาวัดป่าเรืองแสง เยือนแก่งหินถิ่นลำน้ำโขง
ทริปนี้ Palanla จะพาทุกคนไปเที่ยวกันถึงสุดเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคอีสานตอนล่างและมีพรมแดนติดกับประเทศลาวโดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างสองประเทศเอาไว้ จังหวัดอุบลราชธานีมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงามมากมาย และมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งทั้งทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ซึ่งถ้ามีเวลาว่างสักสองสามวัน อยากให้ลองมาเที่ยวที่จังหวัดอุบลราชธานีดูสักครั้ง แล้วจะพบว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่น่าไปท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างมาก
แผนที่ประเทศไทย แสดงตำแหน่งของจังหวัดอุบลราชธานี
แผนที่แสดงตำแหน่งของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้ง 3 วันในจังหวัดอุบลราชธานี โดยเส้นทางท่องเที่ยวในแต่ละวันจะไม่ซ้ำกัน (วันที่ 1 เส้นสีแดง วันที่ 2 เส้นสีเหลือง วันที่ 3 เส้นสีน้ำเงิน)
--- วันที่ 1 ---
(กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี : กทม. - แก่งสะพือ - อุทยานแห่งชาติผาแต้ม - หาดพัทยาน้อย - วัดสิรินธรวราราม (วัดภูพร้าว))
ในวันที่ 1 หากจะเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีโดยรถยนต์ ควรออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่ช่วงเช้ามืดประมาณตีสี่ เนื่องจากมีระยะทางประมาณหกร้อยกิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ก็จะประหยัดเวลาในการเดินทางได้มากกว่าซึ่งจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น โดยลงเครื่องที่สนามบินอุบลราชธานี ทาง Palanla แนะนำให้เดินทางโดยเครื่องบินในเที่ยวบินเช้า เพื่อไปถึงยังจังหวัดอุบลราชธานีในตอนสายๆ ซึ่งวันนี้เราจะไปเที่ยวกัน 4 แห่ง ได้แก่ แก่งสะพือ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม หาดพัทยาน้อย และวัดสิรินธรวราราม เมื่อดูจากเส้นทางบนแผนที่แล้วจะพบว่าวันนี้เราจะเดินทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอพิบูลมังสาหารก่อนเป็นที่แรกเพื่อเที่ยวแก่งสะพือ จากนั้นเราจะเดินทางไปยังอำเภอโขงเจียมเพื่อเที่ยวอุทยานแห่งชาติผาแต้ม แล้วเราจะย้อนลงมายังเส้นทางที่ผ่านมาแล้วนิดหน่อยเพื่อไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอสิรินธรอีก 2 แห่งคือ หาดพัทยาน้อย และวัดสิรินธรวราราม ซึ่งเหตุที่เราต้องเก็บวัดสิรินธรวรารามไว้เที่ยวในตอนท้ายของวัน เนื่องจากวัดสิรินธรวรารามต้องมาเที่ยวตอนพระอาทิตย์ตก เพราะไฮไลท์อยู่ตรงที่ภาพจิตรกรรมที่ผนังด้านหลังอุโบสถที่จะเรืองแสงสวยงามตระการตาในยามที่ท้องฟ้ามืดลง
แก่งสะพือ
สถานที่แรกที่เราจะเริ่มไปเที่ยวกันคือ แก่งสะพือ (Kaeng Saphue) ซึ่งเป็นบึงขนาดใหญ่ที่อยู่ขวางทางน้ำไหลของแม่น้ำมูล ในแก่งมีก้อนหินกระจัดกระจายอยู่ซึ่งจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็นในช่วงฤดูแล้ง ส่วนในช่วงน้ำหลากจะกลายเป็นที่เล่นน้ำที่เต็มไปด้วยผู้คน เพราะมีความสวยงามจากกระแสน้ำที่ไหลมากระทบหินจนกระเซ็นเป็นฟองขาวและเกิดเสียงของสายน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา จึงกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี
โดยเมื่อเที่ยวแก่งสะพือเสร็จแล้ว สามารถแวะตลาดในบริเวณใกล้เคียงเพื่อรับประทานอาหารหรือซื้อของตามอัธยาศัย ก่อนที่จะเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติผาแต้มกันต่อ
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดตลอดเวลา
พิกัด GPS : 15°14'46.7"N 105°14'33.3"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ แก่งสะพือ ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=404
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม
จากแก่งสะพือเราจะเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ซึ่งจะเดินทางต่อไปอีกประมาณ 46.6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม (Pha Taem National Park) มีสถานที่ที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์และทางธรณีวิทยาให้เที่ยวชมมากมาย ที่พลาดไม่ได้คือ ภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ด้วยฝีมือมนุษย์โบราณที่บริเวณริมหน้าผา เสาเฉลียงที่เกิดจากการกัดเซาะของสายน้ำ สายลม และแสงแดดมานับล้านปีจนมีรูปร่างแปลกตา ลานหินต่างๆ และจุดชมวิวแม่น้ำโขงจากบนหน้าผาสูง
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06:00 น. – 16:30 น.
พิกัด GPS : 15°23'55.5"N 105°30'27.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=395
หาดพัทยาน้อย
หลังเที่ยวอุทยานแห่งชาติผาแต้มเสร็จก็น่าจะเป็นเวลาบ่ายเกือบเย็นแล้ว เราก็จะเดินทางย้อนทางเดิมลงมาเล็กน้อยเพื่อไปเที่ยวยังหาดพัทยาน้อยกันต่อ หรือหากใครจองโรงแรมที่พักไว้แถวโขงเจียมก็สามารถแวะไปเช็คอินก่อนแล้วค่อยออกมาเที่ยวต่อก็ได้เพราะอยู่ไม่ไกลกัน โดยจากผาแต้มไปยังหาดพัทยาน้อยมีระยะทางประมาณ 46 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที โดยเราอาจจะหามื้อเย็นทานที่นี่ก็ได้เพราะมีร้านอาหารเยอะ และบรรยากาศดี
หาดพัทยาน้อย (Pattaya Noi) เป็นสถานตากอากาศและแหล่งเล่นน้ำที่อยู่บริเวณริมอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ของเขื่อนสิรินธร มีบรรยากาศคล้ายทะเลขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นแบบสวนน้ำสีสันสดใส เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนอุบลและพื้นที่ใกล้เคียงจนได้รับการขนานนามว่าเป็นทะเลอีสานใต้ บริเวณหาดพัทยาน้อยจะมีเรือนแพตั้งเรียงรายยื่นลงไปในอ่างเก็บน้ำ เป็นที่ตั้งของร้านอาหารต่างๆ ไว้บริการนักท่องเที่ยว
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดตลอดเวลา
พิกัด GPS : 15°10'27.3"N 105°21'30.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หาดพัทยาน้อย ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=396
วัดสิรินธรวราราม (วัดภูพร้าว)
เมื่อเที่ยวหาดพัทยาน้อยเสร็จแล้วในช่วงเย็น ก็ได้เวลาเดินทางไปยังวัดสิรินธรวราราม (วัดภูพร้าว) โดยมีระยะทางจากหาดพัทยาน้อยไปประมาณ 28 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที ซึ่งที่ต้องมาในช่วงเย็นใกล้ค่ำเพราะจะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิวของวัด และชมวัดเรืองแสงหลังพระอาทิตย์ตกดินกัน
วัดสิรินธรวราราม (วัดภูพร้าว) (Wat Sirindhorn Wararam (Wat Phu Prao)) เป็นวัดป่าที่รู้จักกันในนามวัดเรืองแสง เนื่องจากมีผลงานพุทธศิลป์ที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบจิตรกรรมภาพเขียนต้นกัลปพฤกษ์ที่อยู่บนผนังด้านหลังของอุโบสถซึ่งจะเรืองแสงสีเขียวในยามค่ำคืน ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามตระการตา สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้ชมเป็นอย่างมาก ผลงานจิตรกรรมอันเลื่องชื่อนี้ออกแบบโดยช่างคุณากร ปริญญาปุณโณ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากต้นไม้แห่งชีวิตในภาพยนตร์เรื่องอวตาร นอกจากนี้ วัดแห่งนี้ยังมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามซึ่งสามารถมองเห็นลำน้ำโขงและอ่างเก็บน้ำบริเวณเชิงเขาได้อย่างชัดเจน เป็นสถานที่ที่ควรค่าต่อการมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
เราจะจบวันแรกด้วยการชมวัดป่าเรืองแสง และเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัยเพื่อเตรียมตัวไปท่องเที่ยวกันต่อในวันรุ่งขึ้น
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 6:00 น. – 21:00 น.
พิกัด GPS : 15°09'01.6"N 105°28'01.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดสิรินธรวราราม (วัดภูพร้าว) ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=397
--- วันที่ 2 ---
(เสาเฉลียงคู่ - ผาชะนะได – สามพันโบก – หาดชมดาว แก่งหินงาม)
วันที่ 2 หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เราจะเช็คเอาท์ออกจากที่พักและไปเที่ยวกันต่อในเส้นทางรอยต่อจากอำเภอโขงเจียมไปยังอำเภอโพธิ์ไทรและยาวไปยังอำเภอนาตาล โดยสถานที่แรกที่เราจะเดินทางไปคือ เสาเฉลียงคู่
เสาเฉลียงคู่
เสาเฉลียงคู่ (Sao Cha Lhiang Ku / Twin Rock Pillar) ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอำเภอโขงเจียมในความดูแลของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม เป็นเสาหินสีเทาดำอายุนับล้านปีที่มีลักษณะเป็นเสาหินคู่และแต่ละเสาก็จะมีก้อนหินวางอยู่ด้านบนในแนวนอน มองดูแล้วมีรูปทรงเหมือนดอกเห็ดยักษ์สองต้น โดยเสาหินรูปร่างประหลาดนี้เกิดจากการกัดกร่อนจากกระแสลม กระแสน้ำ และแสงแดด
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06:00 น. – 16:30 น.
พิกัด GPS : 15°36'47.0"N 105°35'45.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เสาเฉลียงคู่ ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=398
ผาชะนะได
หลังจากเที่ยวเสาเฉลียงคู่เสร็จแล้ว เราจะเดินทางต่อไปยังผาชะนะได ที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยมีระยะทางจากเสาเฉลียงคู่ไปประมาณ 10.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
ผาชะนะได (Pha Chana Dai) ได้ชื่อว่าเป็นจุดที่จะเห็นดวงตะวันก่อนใครในสยาม เป็นพื้นที่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาใช้คำนวณการขึ้นของดวงอาทิตย์ในประเทศไทย ผาชะนะไดเป็นผาที่มีลักษณะเป็นลานหินกว้าง และมีหน้าผาที่สูงชันซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 450 เมตร จากบริเวณนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของแม่น้ำโขงและสภาพภูมิประเทศของฝั่งลาว เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งนับเป็นแสงแรกของวัน และจะยิ่งสวยงามในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่จะเต็มไปด้วยทะเลหมอกในตอนรุ่งเช้า
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06:00 น. – 16:30 น.
พิกัด GPS : 15°37'14.5"N 105°36'58.2"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ผาชะนะได ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=399
สามพันโบก
หลังจากเที่ยวผาชะนะไดและได้ชมวิวแม่น้ำโขงจากมุมสูงกันไปแล้ว สถานที่ต่อมาเราจะได้ใกล้ชิดกับแม่น้ำโขงมากขึ้น เพราะเราจะไปเที่ยวสามพันโบก สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี โดยจากผาชะนะไดไปยังสามพันโบกมีระยะทางประมาณ 64.3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 28 นาที ซึ่งระหว่างทางแนะนำให้แวะรับประทานอาหารกลางวันหรือแวะคาเฟ่เพื่อพักหลบร้อนและเติมพลังกันก่อน
สามพันโบก (Sam Phan Bok) ได้ชื่อว่าเป็นแกรนด์แคนยอนแห่งลำน้ำโขง ตั้งอยู่ในอำเภอโพธิ์ไทร เป็นแก่งขนาดใหญ่ที่จะโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูแล้งที่แม่น้ำลดระดับลง แก่งแห่งนี้มีสภาพแปลกตาเพราะมีแอ่งจำนวนมากกว่าสามพันแอ่งอยู่บนแก่งหินแห่งนี้ จนได้ชื่อว่าสามพันโบก เนื่องจากคำว่า "โบก" ในภาษาท้องถิ่น หมายถึง "แอ่ง" นั่นเอง โดยแอ่งเหล่านี้เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำวนมายาวนานนับร้อยกว่าล้านปี โดยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จะทำให้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และมีทิวทัศน์ที่ถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนาน
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดตลอดเวลา
พิกัด GPS : 15°47'54.6"N 105°23'43.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สามพันโบก ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=400
หาดชมดาว แก่งหินงาม
หลังจากเที่ยวสามพันโบกเสร็จแล้ว เราจะเดินทางไปยังหาดชมดาว แก่งหินงาม ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก โดยมีระยะทางจากสามพันโบกไปประมาณ 21.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 24 นาที
หาดชมดาว แก่งหินงาม (Chomdao Beach at Kaenghinngam) ตั้งอยู่ในอำเภอนาตาล เป็นแนวหาดทรายและแก่งหินอันกว้างใหญ่ริมแม่น้ำโขงทอดยาวหลายร้อยเมตรซึ่งจะโผล่พ้นแม่น้ำขึ้นมาในช่วงฤดูแล้ง โดยแก่งหินจะมีรูปร่างแปลกตาซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำมาอย่างยาวนานกว่าร้อยล้านปีจึงทำให้หินมีลักษณะเป็นริ้ว เป็นโพรง และเป็นแอ่ง ในส่วนของหาดทรายริมโขงจะมองดูเหมือนชายหาดริมทะเล บริเวณนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและเป็นจุดชมจันทร์และดวงดาวยอดนิยมอีกด้วย
หลังจากเที่ยวหาดชมดาว แก่งหินงามเสร็จแล้ว แนะนำให้แวะทานอาหารเย็นบริเวณริมแม่น้ำโขง ซึ่งตลอดทางจะมีร้านอาหารให้เลือกหลายร้าน หรือถ้าวันที่ไปเที่ยวนี้ตรงกับวันเสาร์ แนะนำให้ไปหาอะไรทานที่ถนนคนเดินเขมราฐที่อยู่ห่างจากหาดชมดาวแก่งหินงามไปประมาณ 30 กิโลเมตร จากนั้นเช็คอินเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัยเพื่อเตรียมตัวเที่ยวต่อในรุ่งขึ้น
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดตลอดเวลา
พิกัด GPS : 15°54'23.1"N 105°20'50.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หาดชมดาว แก่งหินงาม ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=401
--- วันที่ 3 ---
(วัดพระธาตุหนองบัว - ต้นเทียนเฉลิมพระเกียรติ ทุ่งศรีเมือง – ศาลหลักเมืองอุบลราชธานี – กรุงเทพ)
วันที่ 3 ของการเดินทาง หลังจากทานอาหารเช้าและเช็คเอาท์ออกจากที่พักแล้ว เราจะไปเที่ยวกันในตัวอำเภอเมืองอุบลราชธานี โดยเริ่มต้นท่องเที่ยวกันที่วัดพระธาตุหนองบัว
วัดพระธาตุหนองบัว
วัดพระธาตุหนองบัว (Wat Phrathat Nong Bua) โดดเด่นด้วยรูปปั้นพญานาคคู่ใหญ่บริเวณด้านหน้า ด้านในเป็นที่ตั้งของพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์สีขาวสะอาดตัดด้วยลวดลายสีทองและตกแต่งด้วยองค์พระพุทธรูป ซึ่งเจดีย์นี้จำลองมาจากเจดีย์ที่พุทธคยาของประเทศอินเดีย ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากเป็นวัดดังแห่งเมืองอุบลแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 6:00 น. - 18:00 น.
พิกัด GPS : 15°15'48.0"N 104°50'20.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดพระธาตุหนองบัว ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=394
ต้นเทียนเฉลิมพระเกียรติ ทุ่งศรีเมือง
จากพระธาตุหนองบัวเราจะเดินทางไปยังทุ่งศรีเมืองกันต่อ เพื่อไปชมต้นเทียนเฉลิมพระเกียรติ แลนด์มาร์กแห่งเมืองอุบล โดยจากวัดพระธาตุหนองบัวไปยังต้นเทียนเฉลิมพระเกียรติ ทุ่งศรีเมือง มีระยะทางประมาณ 5.8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 13 นาที
ต้นเทียนเฉลิมพระเกียรติ ทุ่งศรีเมือง (Ton Thien Chalerm Phrakiat at Thung Sri Mueang) เป็นอภิมหาเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 โดยสลักเทียนเป็นลวดลายในตอนหนึ่งของพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก โดยต้นเทียนนี้ตั้งอยู่ภายในทุ่งศรีเมืองซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งเปรียบเสมือนปอดแห่งใหญ่ของเมืองอุบลราชธานี
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดตลอดเวลา
พิกัด GPS : 15°13'48.7"N 104°51'26.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ต้นเทียนเฉลิมพระเกียรติ ทุ่งศรีเมือง ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=393
ศาลหลักเมืองอุบลราชธานี
จากทุ่งศรีเมืองเราจะเดินไปยังศาลหลักเมืองอุบลราชธานีที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยมีระยะทางประมาณ 270 เมตร ใช้เวลาเดินไปประมาณ 3 นาที
ศาลหลักเมืองอุบลราชธานี (Ubon Ratchathani City Pillar Shrine) เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่ใกล้กับทุ่งศรีเมือง ภายในมีเสาหลักเมืองที่ผ่านการทำพิธีสำคัญ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จมาเป็นประธานในพิธีเปิดเมื่อพ.ศ. 2519 เป็นสถานที่ที่ชาวอุบลให้ความเคารพนับถือ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะเข้าไปสักการะเพื่อความเป็นศิริมงคลให้กับตนเองและเพื่อให้เดินทางอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย
เมื่อเที่ยวศาลหลักเมืองเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพกันโดยสวัสดิภาพ
เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดตลอดเวลา
พิกัด GPS : 15°13'41.9"N 104°51'27.8"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ศาลหลักเมือง ได้ที่ : https://www.palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=403
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ
อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย
อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ (Phu Pha Toep National Park) หรือ อุทยานแห่งชาติมุกดาหาร เป็นหนึ่งในอุทยานที่มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดในประเทศไทย โดยอุทยานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหินรูปทรงประหลาดและถ้ำที่มีจิตรกรรมวาดด้วยมือ
อ่านต่อภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย ประเทศไทย
ภูห้วยอีสัน (Phu Huai Isan) เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกแห่งใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลหมอกลอยละล่องเหนือสายน้ำโขง และขุนเขาสลับซับซ้อน ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาจังหวัดหนองคาย
อ่านต่ออุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม (Pa Hin Ngam National Park) จังหวัดชัยภูมิ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีสภาพป่าสมบูรณ์และมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง โดยเฉพาะทุ่งดอกกระเจียวที่จะออกดอกสีชมพูอมม่วงบานสะพรั่งไปทั่วผืนป่าในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี
อ่านต่อปราสาทพนมวัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย
ปราสาทพนมวัน (Prasat Phanom Wan) อีกหนึ่งปราสาทหินเก่าแก่ในจังหวัดนครราชสีมาที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็นเทวสถาน ปราสาทหินแห่งนี้ถือเป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย
อ่านต่อ5 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดยโสธร ประเทศไทย
จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของไทยที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี จังหวัดยโสธรมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมหลายแห่ง เพราะเป็นเมืองที่ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยทวาราวดี วันนี้ทาง Palanla จึงได้รวบรวมสถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดยโสธรมาฝากทุกท่านไว้ในบทความนี้
อ่านต่อวัดพระพุทธบาทยโสธร จังหวัดยโสธร ประเทศไทย
วัดพระพุทธบาทยโสธร (Wat Phra Buddhabat Yasothon) เป็นวัดที่มีความสวยงามจากหมู่อาคารสีขาวท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนนิยมมาเที่ยวชมวัดและสักการะโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาอันได้แก่ รอยพระพุทธบาท พระพุทธรูปปางนาคปรก และศิลาจารึกโบราณที่มีอายุราวห้าร้อยปี รวมทั้งพระพุทธรูปหยกขาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ และพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์ของวัดอีกด้วย วัดแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวัดดังของจังหวัดยโสธรที่ควรค่าต่อการมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
อ่านต่อ8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย
จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดในภาคอีสานตอนล่างที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่เป็นจุดชมวิวอันน่าประทับใจ ไปจนถึงแหล่งโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และวัดวาอารามที่สร้างขึ้นอย่างงดงามให้เที่ยวชม วันนี้ทาง Palanla ได้รวบรวม 8 สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดศรีเกษมาฝากทุกท่านกันในบทความนี้
อ่านต่อผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย
ผามออีแดง (Pha Mor E Daeng) เป็นหน้าผาที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นปราสาทเขาพระวิหาร ป่าไม้ และบ้านเมืองของกัมพูชาที่อยู่ไกลออกไปได้ ในยามเช้าของช่วงปลายฝนต้นหนาวจะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงาม ส่วนในยามพระอาทิตย์ตกดินจะมองเห็นฝูงค้างคาวบินออกมาจากถ้ำเพื่อหากิน นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์ของผามออีแดงคือภาพจิตรกรรมโบราณที่ถูกสลักไว้ริมหน้าผาซึ่งมีความเก่าแก่กว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีทีเดียว ถือเป็น Unseen Thailand ที่คุ้มค่าต่อการมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
อ่านต่อน้ำตกสำโรงเกียรติ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย
น้ำตกสำโรงเกียรติ (Samrong Kiat Waterfall) เป็นน้ำตกที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาบรรทัด น้ำตกแห่งนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่บริเวณด้านบนหน้าผาจะมีแอ่งลานหินขนาดใหญ่รองรับธารน้ำเอาไว้ก่อนที่จะไหลตกลงมาตามชั้นหน้าผา น้ำตกสำโรงเกียรติมีน้ำไหลตลอดปี และจะมีน้ำมากที่สุดในช่วงฤดูฝน บรรยากาศโดยรอบมีความร่มรื่นจากป่าไม้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับการมาเล่นน้ำ นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และถ่ายภาพสวยๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน
อ่านต่อเกาะกลางน้ำ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย
เกาะกลางน้ำ (Koh Klang Nam) เป็นเกาะที่อยู่ใจกลางอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำคำในอำเภอเมืองศรีสะเกษ บนเกาะแห่งนี้เป็นสวนสาธาณะขนาดใหญ่และเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญหลายแห่ง เช่น หอศรีลำดวนเฉลิมพระเกียรติที่เป็นหอชมเมืองศรีสะเกษได้รอบทิศ และศรีสะเกษอควาเรียมซึ่งเป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นี่จึงเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของจังหวัดศรีสะเกษอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวชมเป็นอย่างมาก
อ่านต่อ