วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จังหวัดบึงกาฬ ประเทศไทย

  • อ่าน (11,250)
  • ByWebmaster
  • 15:10:46 | 24 ก.พ. 2564

วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จังหวัดบึงกาฬ ประเทศไทย

Wat Chetiya Khiri Wihan (Wat Phu Thok), Bueng Kan, Thailand

             วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬที่มีความสวยงาม เป็นธรรมชาติ และเรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์ วัดที่ตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งต้องใช้ความอุตสาหะในการดั้นด้นขึ้นไปแห่งนี้จึงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้อยู่โดยตลอด

 


ประวัติ

             วัดเจติยาคีรีวิหาร หรือ ภูทอก ตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2483 โดยพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ ได้มาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ภูวัว อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย คืนหนึ่งได้เกิดนิมิตรขึ้นเห็นปราสาท 2 หลัง ลักษณะสวยงามมากอยู่ทางด้านภูทอกน้อย ท่านจึงได้เดินทางมาพิสูจน์ตามที่เกิดนิมิตร และได้พบลักษณะภูมิประเทศที่สวยงานร่มรื่น เหมาะที่จะปฏิบัติธรรม ต่อมาชาวบ้านคำแคนเห็นพระอาจารย์จวน ธุดงภ์มาอยู่ที่ภูทอก จึงพร้อมใจกันอาราธนาให้สร้างวัดขึ้นที่ภูทอก

             “ภูทอก” ในภาษาอีสาน แปลว่า ภูเขาโดดเดี่ยว ภูทอกนั้นมีภูเขาอยู่ 2 ลูก ด้วยกัน คือ ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ภูเขาลูกที่สามารถชมได้คือภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่จะอยู่ห่างออกไปและยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ในอดีตอาณาบริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย ต่อมาพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เริ่มเข้ามาจัดตั้งเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียรเพื่อให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม โดยก่อนที่พระอาจารย์จวนจะละสังขารท่านได้เล็งเห็นการณ์ไกลที่จะช่วยเหลือชาวบ้านแถวนี้ให้มีรายได้อย่างยั่งยืนและถาวรเป็นการตอบแทนบุญคุณญาติโยมที่มีอุปการะ จึงได้ริเริ่มจัดสร้างสะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบๆ ภูทอก เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงการแสวงบุญหรือธรรมจาริก ที่นักท่องเที่ยวจะได้ชมธรรมชาติและได้ศึกษาพุทธศาสนาไปในขณะเดียวกัน

             จุดเด่นของวัดเจติยาศรีวิหารหรือวัดภูทอก คือ ทางขึ้นแบบบันไดวน 360 องศา ซึ่งทางเดินขึ้นทั้ง 7 ชั้นนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยไฮไลต์จะอยู่ที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นสะพานไม้ทางเดินรอบเขา และเป็นชั้นที่สามารถชมทัศนียภาพได้สวยงามที่สุด กล่าวกันว่าบันไดที่ทอดขึ้นสู่ยอดภูทอกนั้นเปรียบเสมือนเส้นทางแห่งธรรมที่ทำให้พ้นโลกแห่งโลกียะ สู่โลกแห่ง โลกุตระ หรือโลกแห่งการหลุดพ้นเนื่องจากต้องใช้ความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นในการขึ้นไป แต่ละชั้นของวัดภูทอกมีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้

             ชั้นที่ 1 เป็นบริเวณทางเข้าที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับต้นไม้ใบหญ้าหลากชนิด

             ชั้นที่ 2 เป็นทางเดินทอดรับจากชั้นที่ 1 ชั้นที่หนึ่งและสองมีทัศนียภาพที่ไม่ต่างกันมากนัก

             ชั้นที่ 3 สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหินลานหิน โดยสุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยกสองทาง ทางซ้ายมือเป็นทางลัดผ่านชั้น 4 ไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลย ซึ่งเป็นทางค่อนข้างชัน

             ชั้นที่ 4 มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่หลายองค์ รอบชั้นมีระยะทางประมาณ 400 เมตร

             ชั้นที่ 5 เป็นชั้นที่มีรูปหล่อพระเกจิอาจารย์ดังที่คนให้ความเคารพศรัทธาประดิษฐานเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก มีศาลากลางและกุฏิที่อาศัยของพระ และยังเป็นที่เก็บศพของพระอาจารย์จวนไว้ด้วย เมื่อมาถึงชั้นที่ 5 แล้ว ต้องมาที่สะพานหิน สะพานไม้ และข้ามมาที่พุทธวิหารให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงภูทอก

             ชั้นที่ 6 เป็นชั้นที่สวยที่สุดและเป็นชั้นสุดท้ายของบันไดไม้เวียนรอบเขา มีความยาว 400 เมตร เป็นชั้นที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมทัศนียภาพรอบๆ ภูทอกได้ดีที่สุดและสวยที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าชมที่สุดของชั้นนี้คือ ปากทางเข้าเมืองพญานาคซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือมีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัสกับหิน  

             ชั้นที่ 7 มีลักษณะเป็นดาดฟ้าเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ จากชั้นที่หกขึ้นมาชั้นที่เจ็ดจะมีบันไดไม้พาดขึ้นมา เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านมาแล้วจะเจอทางแยกสองทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้า


“ภูทอก” ในภาษาอีสาน แปลว่า ภูเขาโดดเดี่ยว


ลักษณะทางเดินชั้นที่ 1 – ชั้นที่ 3


ลักษณะทางเดินบางส่วนที่ชั้น 4


พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ประดิษฐานอยู่ชั้น 4


รูปหล่อพระเกจิอาจารย์องค์ต่างๆ ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนบริเวณชั้น 5


พุทธวิหารซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ด้วย จากชั้นที่ 5 มีสะพานหินและสะพานให้เดินเชื่อมไปได้


บันไดไม้เวียนรอบเขาบริเวณชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นที่ว่ากันว่าสวยที่สุด


การเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬ

             - รถยนต์ (Car/ Bus) การเดินทางโดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดบึงกาฬ มีระยะทาง 760 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง 20 นาที

             ทั้งนี้ ไม่มีเที่ยวบินบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดบึงกาฬ แต่สามารถใช้เส้นทางบิน กรุงเทพฯ-อุดรธานี ซึ่งเป็นสนามบินจังหวัดใกล้เคียง จากนั้นเดินทางต่อโดยรถยนต์ไปจังหวัดบึงกาฬอีกประมาณ 190 กิโลเมตร

             สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทยมีขบวนรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ไปลงที่สถานีจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคายซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียงเช่นกัน การเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง 30 นาที - 9 ชั่วโมง 30 นาที


การเดินทางไปวัดเจติยาคีรีวิหาร
(วัดภูทอก)

             วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬโดยอยู่ห่างจากตัวจังหวัดบึงกาฬประมาณ 47 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ 50 นาที


เวลาทำการเปิด – ปิด

             เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 8.30 – 17.00 น.


อัตราค่าเข้าชม

             ไม่เสียค่าเข้าชม


เจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้สร้างวัดขึ้นที่ภูทอก


สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยววัดเจติยาคีรีวิหาร
(วัดภูทอก)

             เดินขึ้นไปชมชั้นต่างๆ ของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) ให้ครบทั้ง 7 ชั้น โดยเฉพาะพุทธวิหารอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ชั้น 5 ที่กล่าวกันว่าไม่เช่นนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงภูทอก และเยี่ยมชมชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นที่สามารถชมทัศนียภาพรอบๆ ภูทอกได้ดีที่สุดและสวยที่สุด เป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา และเป็นชั้นที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าชมที่เชื่อกันว่าเป็นปากทางเข้าเมืองพญานาค ซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือมีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัสกับหิน


เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว

             สามารถท่องเที่ยวได้ทั้งปี


ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้

             การเที่ยวชมพูทอกอย่างทั่วถึงทุกชั้นนั้นควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง


             
นักท่องเที่ยวที่สนใจไปเที่ยวชม วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) สามารถศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่

                         วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จังหวัดบึงกาฬ ประเทศไทย

                         (Wat Chetiya Khiri Wihan (Wat Phu Thok), Bueng Kan, Thailand)

                         ระดับความนิยม : 

                         อัตราค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม

                         เวลาทำการเปิด – ปิด : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 8.30 – 17.00 น.

                         ตั้งอยู่ที่ : ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ

                         โทรศัพท์ : (+66) 087 505 3448

                         เว็บไซต์ : -  

                         ข้อมูลอื่นๆที่ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com/

                                        เว็บไซต์จังหวัดบึงกาฬ http://www.buengkan.go.th

                                        สำนักงานการกีฬาและท่องเที่ยว จังหวัดบึงกาฬ https://bungkan.mots.go.th

                                        ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวประเทศไทย https://thai.tourismthailand.org

 
 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ จังหวัดมุกดาหาร ประเทศไทย

อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ (Phu Pha Toep National Park) หรือ อุทยานแห่งชาติมุกดาหาร เป็นหนึ่งในอุทยานที่มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดในประเทศไทย โดยอุทยานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหินรูปทรงประหลาดและถ้ำที่มีจิตรกรรมวาดด้วยมือ

อ่านต่อ

ภูห้วยอีสัน จังหวัดหนองคาย ประเทศไทย

ภูห้วยอีสัน (Phu Huai Isan) เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกแห่งใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลหมอกลอยละล่องเหนือสายน้ำโขง และขุนเขาสลับซับซ้อน ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมาจังหวัดหนองคาย

อ่านต่อ

อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ ประเทศไทย

อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม (Pa Hin Ngam National Park) จังหวัดชัยภูมิ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีสภาพป่าสมบูรณ์และมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง โดยเฉพาะทุ่งดอกกระเจียวที่จะออกดอกสีชมพูอมม่วงบานสะพรั่งไปทั่วผืนป่าในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี

อ่านต่อ

ปราสาทพนมวัน จังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย

ปราสาทพนมวัน (Prasat Phanom Wan) อีกหนึ่งปราสาทหินเก่าแก่ในจังหวัดนครราชสีมาที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็นเทวสถาน ปราสาทหินแห่งนี้ถือเป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย

อ่านต่อ

5 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดยโสธร ประเทศไทย

จังหวัดยโสธรเป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของไทยที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี จังหวัดยโสธรมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมหลายแห่ง เพราะเป็นเมืองที่ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยทวาราวดี วันนี้ทาง Palanla จึงได้รวบรวมสถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดยโสธรมาฝากทุกท่านไว้ในบทความนี้

อ่านต่อ

วัดพระพุทธบาทยโสธร จังหวัดยโสธร ประเทศไทย

วัดพระพุทธบาทยโสธร (Wat Phra Buddhabat Yasothon) เป็นวัดที่มีความสวยงามจากหมู่อาคารสีขาวท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนนิยมมาเที่ยวชมวัดและสักการะโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาอันได้แก่ รอยพระพุทธบาท พระพุทธรูปปางนาคปรก และศิลาจารึกโบราณที่มีอายุราวห้าร้อยปี รวมทั้งพระพุทธรูปหยกขาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ และพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์ของวัดอีกด้วย วัดแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวัดดังของจังหวัดยโสธรที่ควรค่าต่อการมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง

อ่านต่อ

8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดในภาคอีสานตอนล่างที่มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่เป็นจุดชมวิวอันน่าประทับใจ ไปจนถึงแหล่งโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และวัดวาอารามที่สร้างขึ้นอย่างงดงามให้เที่ยวชม วันนี้ทาง Palanla ได้รวบรวม 8 สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของจังหวัดศรีเกษมาฝากทุกท่านกันในบทความนี้

อ่านต่อ

ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

ผามออีแดง (Pha Mor E Daeng) เป็นหน้าผาที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นปราสาทเขาพระวิหาร ป่าไม้ และบ้านเมืองของกัมพูชาที่อยู่ไกลออกไปได้ ในยามเช้าของช่วงปลายฝนต้นหนาวจะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงาม ส่วนในยามพระอาทิตย์ตกดินจะมองเห็นฝูงค้างคาวบินออกมาจากถ้ำเพื่อหากิน นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์ของผามออีแดงคือภาพจิตรกรรมโบราณที่ถูกสลักไว้ริมหน้าผาซึ่งมีความเก่าแก่กว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีทีเดียว ถือเป็น Unseen Thailand ที่คุ้มค่าต่อการมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง

อ่านต่อ

น้ำตกสำโรงเกียรติ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

น้ำตกสำโรงเกียรติ (Samrong Kiat Waterfall) เป็นน้ำตกที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาบรรทัด น้ำตกแห่งนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่บริเวณด้านบนหน้าผาจะมีแอ่งลานหินขนาดใหญ่รองรับธารน้ำเอาไว้ก่อนที่จะไหลตกลงมาตามชั้นหน้าผา น้ำตกสำโรงเกียรติมีน้ำไหลตลอดปี และจะมีน้ำมากที่สุดในช่วงฤดูฝน บรรยากาศโดยรอบมีความร่มรื่นจากป่าไม้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับการมาเล่นน้ำ นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และถ่ายภาพสวยๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน

อ่านต่อ

เกาะกลางน้ำ จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย

เกาะกลางน้ำ (Koh Klang Nam) เป็นเกาะที่อยู่ใจกลางอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำคำในอำเภอเมืองศรีสะเกษ บนเกาะแห่งนี้เป็นสวนสาธาณะขนาดใหญ่และเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญหลายแห่ง เช่น หอศรีลำดวนเฉลิมพระเกียรติที่เป็นหอชมเมืองศรีสะเกษได้รอบทิศ และศรีสะเกษอควาเรียมซึ่งเป็นศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นี่จึงเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของจังหวัดศรีสะเกษอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวชมเป็นอย่างมาก

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ