เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์

  • อ่าน (7,275)
  • By Webmaster
  • 11:59:32 | 8 ส.ค. 2561
เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์
Reykjavik, Iceland

ประวัติ

             เรคยาวิก (Reykjavik) เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) หรือ ชื่อทางการคือ สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ (Republic of Iceland) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด ผู้อพยพชาวนอร์ดิกคนแรกที่มาตั้งรกรากที่เรคยาวิกในปี ค.ศ.870 คือ Ingolfur Arnarson เมื่อเรคยาวิกมีบทบาทของการเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าและธุรกิจการประมงอย่างโดดเด่น ต่อมาจึงได้รับการก่อตั้งให้เป็นเมืองหลวงในปี ค.ศ.1786

            เรคยาวิกกล่าวได้ว่าเป็นเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด มีความสวยงามและมีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองหลวงอื่นๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นเมืองที่เพียบพร้อมด้วยความบริสุทธิ์ทางธรรมชาติ อาคารบ้านเรือนสีลูกกวาดรูปทรงน่ารัก และสถาปัตยกรรมทรงคุณค่าที่ถักทอประวัติศาสตร์เรื่องบอกเล่าความเป็นมาของประเทศ “ดินแดนน้ำแข็ง” เล็กๆ แห่งนี้ไว้ได้อย่างน่าสนใจ


เรคยาวิกท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย


ร้านล็อบสเตอร์ที่ได้รับความนิยมในเมืองเรคยาวิก


การเดินทางจากกรุงเทพไปเมืองเรคยาวิก

           เนื่องจากการเดินทางจากประเทศไทยไปประเทศไอซ์แลนด์ยังไม่มีสายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินตรง ฉะนั้น นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์จะต้องบินไปลงยังเมืองใดเมืองหนึ่งของยุโรปก่อนเพื่อต่อไฟลท์ไปยังประเทศไอซ์แลนด์อีกครั้ง เรคยาวิกซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ มีสนามบิน 2 แห่งตั้งอยู่คนละที่ คือ Keflavik International Airport (KEF) ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติ และ Reykjavik Domestic Airport (RKV) ซึ่งเป็นสนามบินภายในประเทศ

             จากเมืองต่างๆ ของยุโรปเครื่องจะบินไปลงที่สนามบินนานาชาติ Keflavik International Airport (KEF) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเรคยาวิกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร เว้นเสียแต่ว่านักท่องเที่ยวเดินทางมาจากหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) และ เกาะกรีนแลนด์ (Greenland) ซึ่งจะมีเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ให้บริการไปลง Reykjavik Airport (RKV) สนามบินภายในประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเรคยาวิกไปทางทิศใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร

 

การเดินทางจากสนามบินเรคยาวิกสู่ตัวเมือง

             การเดินทางจากสนามบินนานาชาติ Keflavik International Airport (KEF) ไปยังตัวเมืองเรคยาวิกจะใช้เวลาประมาณ 40 – 45 นาที นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการ เช่ารถยนต์ ได้จากหลากหลายบริษัท โดยสามารถศึกษาข้อมูลและจองได้ล่วงหน้าก่อนเดินทาง อาทิ บริการของบริษัทต่างๆ บนเว็บไซต์ www.motorhomerepublic.com และ www.rentalcars.com ทั้งนี้ หากนักท่องเที่ยวไม่ได้เช่ารถยนต์ขับจากสนามบินเลยก็สามารถใช้บริการ รถโดยสารสาธารณะ ชื่อ Flybus Airport Transfers เพื่อไปลงที่ BSI Bus Terminal หรือจุดจอดต่างๆ ในตัวเมืองเรคยาวิก โดยรถจะมีให้บริการทุกๆ 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง ราคาอยู่ที่ 2.950 ISK ต่อคน โดยนักท่องเที่ยวสามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ที่ https://www.re.is/flybus เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีที่นั่งแน่นอนในวันเดินทาง

             การเดินทางจากสนามบินภายในประเทศ Reykjavik Domestic Airport (RKV) ไปยังตัวเมืองเรคยาวิกจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที นักท่องเที่ยวสามารถ เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้โดย ใช้บริการ รถแท็กซี่ หรือ ใช้บริการ รถโดยสารประจำทาง Straeto สาย 15 ของ Reykjavik Excursions เพื่อไปลงที่ BSI  Bus Terminal หรือจุดจอดต่างๆ ในตัวเมืองเรคยาวิก โดยนักท่องเที่ยวสามารถตรวจสอบเวลาและเส้นทางการเดินรถรอบๆ เมืองเรคยาวิกได้ที่ https://www.straeto.is/en/timatoflur


รูปปั้นของ Fridrik Fridriksson ผู้ก่อตั้งไอซ์แลนด์ Y.M.C.A. และ Y.W.C.A.


งานประติมากรรมสัมฤทธิ์ ออกแบบโดย Steinunn Thorarinsdottir

ร้านรวงสีลูกกวาดกับรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์


ม้านั่งสีสันสดใส ตัดกับต้นไม้ที่ทิ้งใบเหลือเพียงกิ่งก้านในช่วงฤดูหนาว


โรงแรมภายใต้ชื่อ เลฟร์ อีริคสัน


ปฏิมากรรมก้อนหินที่ผู้คนนำมาเรียงไว้ริมแม่น้ำ

 
กราฟฟิตี้สวยๆ บนผนังอาคารที่มีให้เห็นอยู่เป็นระยะ


โบสถ์ Hallgrímskirkja ท่ามกลางหิมะ


ถนนทางเดินกว้างขวางปูด้วยอิฐ

สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวเมืองเรคยาวิก


- Hallgrímskirkja

           โบสถ์ฮอลล์กริมสเคิร์กยา (Hallgrímskirkja) โบสถ์คริสต์นิกายลูเธอรัน (Lutheran) แลนด์มาร์กสำคัญของเมืองเรคยาวิก ว่ากันว่าเราสามารถมองเห็นโบสถ์แห่งนี้ได้จากเกือบทุกที่ในเมือง โบสถ์มีความสูง 74.5 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ในประเทศไอซ์แลนด์รองจากสถานีวิทยุ 2 แห่งและอาคารสเมาราท็อก (Smáratorg tower) ตึกสูงที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งสูง 77.6 เมตร โบสถ์แห่งนี้ตั้งชื่อตามพระในศาสนาคริสต์ที่ชื่อฮาลล์กริมูร์ (Hallgrímur Pétursson) ที่เป็นทั้งนักกวี และนักประพันธ์ ผลงานที่มีชื่อและเป็นที่รู้จักกันอย่างดีของชาวไอซ์แลนด์ คือ Passion Hymns ที่ถูกนำดัดแปลงเป็นบทเพลง บทสวดในวิถีชีวิตทางศาสนาของชาวไอซ์แลนด์ ฮาลล์กริมูร์มีอายุอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1614 – 1674

           โบสถ์แห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า Hallgrímskirkja มีความหมายว่า “โบสถ์ของฮาลล์กริมูร์” โบสถ์ Hallgrímskirkja เป็นสถาปัตยกรรมแนวอิมเพรสชั่นนิสท์ (Impressionist) สถาปนิกผู้ออกแบบคือนายกุดโยน (Guðjón Samúelsson) ซึ่งกว่าจะได้สร้างก็ใช้เวลานานหลายปี รวมระยะเวลาการก่อสร้างทั้งหมด 38 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1986 นอกจากการเที่ยวชมความงามทางสถาปัตยกรรมของของคริสตศาสนิกสถานแห่งนี้แล้ว หากนักท่องเที่ยวต้องการชมวิวรอบเมืองเรคยาวิกแบบ 360 องศา ชั้นบนสุดภายในโบสถ์ Hallgrímskirkja มีจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นลิฟต์เพื่อไปชมวิวได้ ทั้งนี้ ต้องเสียค่าบัตรขึ้นไป นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.hallgrimskirkja.is/information/the-tower/


โบสถ์ Hallgrímskirkja 


- Leifur Eiríksson

            อนุเสาวรีย์ของเลฟร์ อีริกสัน (Leifur Eiríksson) นักเดินทางคนสำคัญในประวัติศาสตร์โลกที่ยืนตระหง่านสวมหมวก มีผ้าคลุมลักษณะพริ้วสะบัด  ถือขวานขนาดใหญ่ และอีกมือถือหนังสือแนบไว้กับอก เป็นสัญลักษณ์ของการผจญภัย ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าโบสถ์ Hallgrímskirkja นั้นเป็นอนุสาวรีย์ที่สหรัฐอเมริกาได้มอบให้แก่ไอซ์แลนด์เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 1 พันปี รัฐสภา “Althing” ของไอซ์แลนด์

            เลฟร์ อีริกสันซึ่งเป็นลูกของ อีริก เดอะ เรด (Erik the Red) เป็นชาวนอร์สยุโรปคนแรกจากไอซ์แลนด์ที่เดินทางไปพบกรีนแลนด์ และอเมริกาเหนือ การเดินทางของเลฟร์ อีริกสัน เป็นการเดินทางครั้งสำคัญที่ทำให้ชื่อของชาวไอซ์แลนด์ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก โดยในช่วงราวศตวรรษที่ 20 เลฟร์ อีริกสันได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก นับเป็นการเดินทางที่ไกลกว่าเพื่อนร่วมชาติคนไหนของเขาเคยไปถึง เชื่อกันว่า ในที่สุดแล้วเขาสามารถเดินทางไปถึงชายฝั่งของอเมริกา เป็นระยะเวลาก่อนที่โคลัมบัสจะค้นพบอเมริกานานถึง 500 ปี

            นอกจากที่นี่แล้ว ที่หน้าศาลาว่าการเมืองมินิสโซต้า (Saint Paul Minnesota) สหรัฐอเมริกายังมีรูปปั้นของเลฟร์ อีริกสันตั้งอยู่อีกด้วย โดยรัฐสภาอเมริกาได้กำหนดให้วันที่ 9 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันของเลฟ เรียกว่า “Leif Erikson Day” มีความสำคัญในฐานะเป็นผู้บุกเบิกดินแดนของอเมริกาเหนือและนำคนเข้าตั้งถิ่นฐาน


อนุสาวรีย์ Leifur Eiríksson


- Harpa

           อาคารรูปทรงทันสมัยบนพื้นที่กว่า 301,000 ตารางฟุต ที่ได้รับรางวัล Mies van der Rohe Award 2013 ผลงานการสร้างสรรค์ของ Henning Larsen Architects จากเดนมาร์ก Batteríið Architects บริษัทในท้องถิ่นของไอซ์แลนด์ และ Olafur Eliasson ศิลปินผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ตึก Harpa ที่ตั้งอยู่ริมอ่าวในเมืองเรคยาวิกแห่งนี้ ทำหน้าที่เป็นทั้งคอนเสิร์ตฮอลล์ ศูนย์ประชุม ที่ตั้งของร้านอาหารหรู ร้านค้า รวมถึงเป็นบ้านหลังใหม่ของ Iceland Symphony Orchestra และ Icelandic Opera

           อาคารแห่งนี้นับเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเรคยาวิกที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะไปเยี่ยมชมและถ่ายภาพ เอกลักษณ์อันเป็นจุดเด่นของอาคารที่สวยงาม โดดเด่นแห่งนี้คือการตกแต่งด้วยกระจก 6 เหลี่ยม มีความหมายสื่อถึงหินภูเขาไฟที่ตกผลึกเกาะตัวกัน เมื่อยามที่ต้องแสงอาทิตย์กระจกจะสะท้อน เกิดประกายระยิบระยับ สีสันแตกต่างกันออกไปตามมุมมองที่เรายืนชมอยู่ มีความงดงามน่าประทับใจ


ความสวยงามและทันสมัยของฮาร์ปา


- Hofdi House

           บ้านฮอฟดิบ้านที่มีเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชาติอันน่าสนใจ บ้านหลังนี้เคยใช้เป็นที่รับรอง และจัดเลี้ยงผู้นำของสองประเทศมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ในการยุติสงครามเย็น


- Icelandic National Gallery

           หอศิลป์แห่งชาติของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่หลักๆ นั้นจะเน้นรวบรวมผลงานศิลปะของไอซ์แลนด์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่ในขณะเดียวกันก็มีจัดแสดงผลงานศิลปะนานาชาติ รวมถึงผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Pablo Picasso, Edward Munch, Karel Appel, Hans Hartung, Victor Vasarely, Richard Serra และ Richard Tuttle อีกด้วย


- Reykjavík City Museum 

           พิพิธภัณฑ์เมืองเรคยาวิกประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ 5 แห่ง ได้แก่ The Settlement Exhibition, พิพิธภัณฑ์การถ่ายภาพ, พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Árbær, อนุสรณ์สถานและศิลปะสมัยใหม่ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Viðey และ พิพิธภัณฑ์การเดินเรือไวกิ้ง


- Vikin Maritime Museum (พิพิธภัณฑ์การเดินเรือไวกิ้ง)

           พิพิธภัณฑ์การเดินเรือไวกิ้ง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2005 ตั้งอยู่ริมอ่าว Old Harbour ในเมืองเรคยาวิก เป็นสถานที่น่าสนใจอย่างยิ่งเพราะที่นี่คือสถานที่ที่จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเดินเรือของชาวไอซ์แลนดิกที่มีความสามารถและความชำนาญสูงในการเดินเรือที่เลื่องชื่อไปทั่วโลก ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงนิทรรศการโดยแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจอย่างเพลิดเพลิน


- พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
Árbær

           พิพิธภัณฑ์แห่งเมืองเรคยาวิกนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าแบบไอซ์แลนด์ดั้งเดิม และบ้านเรือนแบบโบราณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้เห็นวิถีชีวิตอันยากลำบากของผู้คนชาวเกาะไอซ์แลนด์ในสมัยก่อน


- Reykjavik Whale Watching (
กิจกรรมล่องเรือชมวาฬ)  

           เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสที่เมืองเรคยาวิก การล่องเรือออกไปชมวาฬแบบธรรมชาตินี้ เป็นโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะได้พบกับนกทะเลชนิดต่างๆ มากมาย รวมไปถึงวาฬนานาพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์เพชฆาต (Killer Whale, Orca), วาฬมิงก์ (Minke Whale), วาฬหลังค่อม (Humpback Whale) รวมถึงสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมที่น่ารักและเป็นมิตรอย่างโลมา (Dolphin) ซึ่งจะมาว่ายน้ำหยอกล้อวนเวียนอยู่ข้างๆ เรือของนักท่องเที่ยว

           ทั้งนี้ การล่องเรือชมวาฬขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของในขณะนั้น โดยทางบริษัทเรือสามารถยกเลิกการล่องเรือชมปลาวาฬได้เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวจะได้รับสิทธิ์ล่องเรือได้หลังจากนั้นเมื่อสภาพอากาศเหมาะสม และหากล่องเรือออกไปแล้วไม่พบวาฬทางบริษัทล่องเรือก็จะให้ตั๋วฟรีที่สามารถกลับมาใช้บริการล่องเรือชมวาฬได้ใหม่ภายในระยะเวลาที่กำหนด


Old Harbour บริเวณท่าเรือของเมืองเรคยาวิก


ออฟฟิศจำหน่ายตั๋วล่องเรือออกไปชมปลาวาฬ


ชุดกันหนาวที่นักท่องเที่ยวต้องสวมใส่ขณะล่องเรือออกไปชมวาฬ


- Golden Circle (วงแหวนทองคำ)

           Golden Circle หรือ วงแหวนทองคำ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเรคยาวิก ล้อมรอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยว 3 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ Thingvellir, น้ำตก Gullfoss และ บริเวณพื้นที่ของ Haukadalur ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำพุร้อน Geysir และ น้ำพุร้อน Strokkur มีบริษัททัวร์หลายแห่งให้บริการนำเที่ยวแบบรายวัน ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเช่ารถขับและสำรวจเส้นทางต่างๆ ได้ด้วยตัวเองเช่นกัน


สัญลักษณ์จำกัดความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว

           นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวเมืองเรคยาวิกได้ตลอดทั้งปี โดยในแต่ละฤดูกาลก็จะมีทัศนียภาพความงามและเสน่ห์ที่แตกต่างกัน

             ฤดูหนาว ระหว่างเดือนธันวาคม – ต้นเดือนมีนาคม เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาล่าแสงเหนือ (Northern lights) และชมความงามของถ้ำน้ำแข็ง (Ice Cave)

             ฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างเดือนเมษายน – ปลายเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็น “ดินแดนน้ำแข็ง” แห่งนี้เป็นสีเขียวขจี มองไปทางใดก็สดชื่น และกลางวันกับกลางคืนยาวนานเท่าๆ กัน

             ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม เป็นช่วงที่ดอกไม้เบ่งบานอวดสีสันสวยๆ เมืองและผู้คนเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อความบันเทิงมากมาย ร้านรวงต่างๆ เปิดทำการนานขึ้น และเป็นช่วงที่กลางวันยาวนานโดยพระอาทิตย์จะตกตอนเที่ยงคืน

             ฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างเดือนกันยายน – พฤศจิกายน เป็นช่วงที่มีเสน่ห์งดงามไม่แพ้ฤดูกาลอื่นๆ เพราะใบไม้จะเปลี่ยนสีเป็นเหลือง ส้ม แดง สีสันสวยงามหลากเฉดก่อนร่วงหล่น แม้ว่าฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกแต่นักท่องเที่ยวก็มีโอกาสที่จะลุ้นชมแสงเหนือได้เช่นกัน


ทัศนียภาพอันสวยงามในช่วงฤดูหนาว


ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้

             วีซ่า ในประเทศไทยยังไม่มีสถานทูตไอซ์แลนด์ ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์จึงต้องไปขอที่สถานทูตเดนมาร์ก

             สกุลเงิน สกุลเงินของไอซ์แลนด์ คือ เงินโครน (Icelandic Krona) แต่นักท่องเที่ยวสามารถใช้เงินยูโยได้ ทั้งนี้ การชำระราคาสินค้าและบริการต่างๆ ด้วยเงินโครน หรือบัตรเครดิตจะสะดวกกว่า

             ภาษา อักษรภาษาไอซ์แลนดิกจะแตกต่างจากภาษาอังกฤษ คือ Á (ออ), Ð ð (dh หรือ ด, ท), É (เย), Í (อี), Ó (อุ), Ú (อู), Ý (อี), Þ þ (th หรือ ธ), Æ (เอ) และ Ö (เออ) และในภาษาภาษาไอซ์แลนดิกจะไม่มีอักษร C, Q, W และ Z ยกเว้นเวลาสะกดคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศเช่นคำว่า pizza

             สภาพอากาศ สภาพอากาศของไอซ์แลนด์แปรปรวนค่อนข้างบ่อยและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักท่องเที่ยวจึงควรตระเตรียมความพร้อมของเครื่องแต่งกายเมื่อเดินทาง

             การเดินทาง การท่องเที่ยวในเมืองเรคยาวิกมีบริการขนส่งสาธารณะ แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถเดินเที่ยวได้ด้วยตัวเองเช่นกันเพราะเรคยาวิกเป็นเมืองเล็กๆ แต่การเดินทางท่องเที่ยวส่วนอื่นๆ รอบๆ ประเทศไอซ์แลนด์นั้นไม่เหมาะกับการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการเช่ารถขับเอง โดยนักท่องเที่ยวต้องเช่ารถจากสนามบิน

             การขับรถในประเทศเทศไอซ์แลนด์ หากเป็นฤดูหนาวต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้นเนื่องจากถนนจะลื่น เป็นน้ำแข็ง การจำกัดความเร็วการขับรถในประเทศไอซ์แลนด์นั้น ความเร็วทั่วไปในพื้นที่เขตเมืองจำกัดที่ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง , พื้นที่นอกเมือง (ถนนไม่ได้ลาดยาง) จำกัดที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง, พื้นที่นอกเมือง (ถนนลาดยาง) จำกัดที่ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง และการขับรถในประเทศไอซ์แลนด์ นอกจากห้ามโทรศัพท์และต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลาแล้ว กฎหมายยังบังคับว่าต้องเปิดไฟหน้ารถตลอดเวลา ไม่ว่าจะเช้าหรือกลางคืน 


ล้อรถมีลักษณะเหมือนหัวตะปูติดอยู่ เพื่อให้ล้อยึดกับถนนในฤดูหนาวที่มีหิมะและถนนลื่น

           พฤติกรรมอย่างหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือการหยุดรถกลางถนน เพราะต้องการถ่ายรูปวิว รูปม้า หรือ แกะ ซึ่งการกระทำเช่นนี้สามารถเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ฉะนั้น เมื่อต้องการจอดรถระหว่างทางนักท่องเที่ยวจึงควรเลือกจุดจอดอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงเพื่อนร่วมท้องถนนคนอื่นๆ ด้วย

           เมื่อขับรถเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์นอกฤดูกาล นักท่องเที่ยวจะต้องเผื่อใจสำหรับความล่าช้าในการเดินทาง เนื่องจากถนนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและลื่น สำคัญมากที่นักท่องเที่ยวจะต้องทราบและคอยเช็กและอัพเดทสภาพอากาศของไอซ์แลนด์อยู่ตลอด  โดยเฉพาะนอกฤดูกาลที่สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนมาก และสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว หากหิมะตกในขณะขับรถท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์ นักท่องเที่ยวควรแจ้งให้ทางโรงแรมที่พักทราบว่ากำลังจะเดินทางไปที่ไหน ใช้ถนนเส้นไหน และคาดว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางต่อไปเมื่อไร เพราะหากเกิดปัญหาฉุกเฉินขึ้น อย่างน้อยๆ ทางโรงแรมก็สามารถที่จะประสานงานให้ความช่วยเหลือได้

             เครื่องหมายจราจรในประเทศไอซ์แลนด์ โดยทั่วไปเป็นตามแบบมาตรฐานสากล แต่อาจมีสัญลักษณ์บางอย่างที่นักท่องเที่ยวไม่คุ้นเคย เช่น Single - lane Bridge หรือสะพานเลนเดียว ที่นักท่องเที่ยวสามารถพบได้บ่อยๆ เมื่อพบสัญลักษณ์นี้ ผู้ขับจะต้องชะลอรถให้อีกฝ่ายที่มาถึงก่อนเป็นฝ่ายไปก่อน เนื่องจากรถจะไม่สามารถแล่นสวนกันได้ ฉะนั้นนักท่องเที่ยวจึงต้องใช้ความระมัดระวัง และมีน้ำใจแก่เพื่อนร่วมถนน และเนื่องจากถนนในไอซ์แลนด์นั้นไม่ได้กว้างและไม่มีไหล่ถนนเหมือนถนนตามต่างประเทศ ฉะนั้น  นักท่องเที่ยวต้องมั่นใจว่าเวลาจอดรถไม่ได้จอดกินเลนถนนมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้


Single - lane Bridge หรือสะพานเลนเดียว
            ถนนอีกประเภทหนึ่งที่ค่อนข้างพบได้บ่อยในไอซ์แลนด์ แต่อาจจะไม่ค่อยพบในต่างประเทศคือ ถนนที่เรียกว่า Blindhaed หรือ Blind Rise ที่ค่อนข้างพบได้เป็นปกติบนถนนสายที่เล็กกว่าถนนสายวงแหวน จะมีลักษณะคือเป็นเนินแหลมชนกัน นั่นหมายความว่านักท่องเที่ยวจะไม่สามารถมองเห็นรถที่กำลังวิ่งขึ้นเนินสวนมาจากอีกฝั่ง ผู้ขับจึงจำเป็นที่จะต้องลดความเร็วลง และขับรถด้วยความระมัดระวัง

           
           นักท่องเที่ยวที่สนใจไปเที่ยวชม เมืองเรคยาวิก สามารถศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่

                        เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์

                        (Reykjavik, Iceland)

                        ระดับความนิยม                

                        อัตราค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม

                        สถานที่ตั้ง : เมืองเรคยาวิกตั้งอยู่ทางตะวันตกฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์

                        โทรศัพท์ : (+354)4116000

                        เว็บไซต์ : https://visitreykjavik.is/

                        ข้อมูลอื่นๆที่ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com    

                                        ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการขับรถเที่ยว https://safetravel.is/

                                        แท็กซี่เมืองเรคยาวิก http://www.taxireykjavik.is/

                                        ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์ https://www.iceland.is

                                        ศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าประเทศไอซ์แลนด์ http://vfsglobal-denmark.com

                                        สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย http://thailand.um.dk

                                        เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน 112

                                        เบอร์โทรศัพท์สำหรับช่วยเหลือทางการแพทย์ 1770

                                        เบอร์โทรศัพท์ตำรวจ 444 – 1000

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

รวมที่เที่ยว 4 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โอเลซุนด์ ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางจากออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศ สู่เบอร์เกน (Bergen) ฟลอม (Flam) และเอลซุนด์ ( Alesund) เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เส้นทางสายนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับบ้านเมืองน่ารักๆ ทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของเทือกเขาสูงชัน น้ำตกที่ไหลเชี่ยว ฟยอร์ดที่ทอดยาว และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์

อ่านต่อ

รวมที่เที่ยว 3 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่แสนสวยงาม เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวมากมายที่พร้อมจะมอบความทรงจำสุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน การเดินทางจากออสโล (Oslo) สู่ทรุมเซอ (Tromso) และโลโฟเทน (Lofoten) นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองหลวงที่ทันสมัย ไปจนถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของอาร์กติก และหมู่เกาะที่สวยงามราวภาพวาด

อ่านต่อ

หมู่บ้านซอมมารอย เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซอมมารอย (Sommarøy) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตะวันตกของเมืองทรุมเซอ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์ อยู่ห่างจากเมืองทรุมเซอไปทางตะวันตกประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีหาดทรายขาวและทิวทัศน์สวยงาม

อ่านต่อ

มหาวิหารอาร์กติก เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารอาร์กติก (Arctic Cathedral) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดของเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และความหมายอันลึกซึ้ง ทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนทรุมเซอ

อ่านต่อ

มหาวิหารทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารทรุมเซอ (Tromso Cathedral) หรือที่รู้จักในชื่อ "Tromsdalen Church" เป็นโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ และการออกแบบตกแต่งภายในอันงดงาม

อ่านต่อ

ท่าเรือทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

ท่าเรือทรุมเซอ (Port of Tromsø) ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ท่าเรือแห่งนี้เป็นมากกว่าแค่จุดขึ้นลงเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของเมืองทรุมเซอ และเป็นประตูสู่ดินแดนอาร์กติกที่น่าตื่นตาตื่นใจ

อ่านต่อ

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน (Fjellheisen Cable Car) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ การนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาสโตรสไตเนิน (Storsteinen Mountain) จะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับวิวเมืองทรุมเซอและฟยอร์ดอันงดงามแบบ 360 องศา

อ่านต่อ

หมู่บ้านแฮมนอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านแฮมนอย (Hamnoy) ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) มีลักษณะโดดเด่นคือ “โรบูเอ้” สีแดง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่บนโขดหิน และมีฉากหลังเป็นภูเขา เป็นภาพที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด ของที่ระลึก และสื่อประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวต่างๆ

อ่านต่อ

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด (Nusfjord) คือหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านใต้ของเกาะ Flakstadøya ในอ่าวเวสฟยอร์เดน (Vestfjord) เขตเทศบาล Flakstad ของเมือง Lofoten ประเทศนอร์เวย์ หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ และอาจจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลกก็เป็นได้

อ่านต่อ

หมู่บ้านซาคริซอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาโอลสตินด์ (Olstind) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) และอีกหนึ่งลักษณะที่โดดเด่นคือหมู่บ้านนี้คือ “โรบูเอ้” สีเหลือง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่ตามริมฝั่งฟยอร์ด

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ