- หน้าแรก
- ท่องเที่ยวต่างประเทศ
- 7 วันในคิวชู...ตะลุยเที่ยวเกาะใหญ่ตอนใต้แดนปลาดิบ
7 วันในคิวชู...ตะลุยเที่ยวเกาะใหญ่ตอนใต้แดนปลาดิบ
- อ่าน (7,800)
- By Webmaster Webmaster
- 11:34:52 | 12 มิ.ย. 2566
7 วันในคิวชู...ตะลุยเที่ยวเกาะใหญ่ตอนใต้แดนปลาดิบ
7 Days in Kyushu, Japan
คิวชู (Kyushu) เป็นเกาะและภูมิภาคทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นอีก 1 เกาะใหญ่ที่ผู้คนคึกคัก เต็มไปด้วยสีสัน มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค และเนื่องจากอยู่ใกล้กับจีนและเกาหลี ภูมิภาคแห่งนี้จึงมีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสงคราม ตลอดจนศิลปะและวัฒนธรรมทางด้านอาหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คิวชูประกอบไปด้วย 7 จังหวัดได้แก่ จังหวัดฟุกุโอกะ จังหวัดซะกะ (Saga) จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) จังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) จังหวัดโออิตะ (Oita) จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima) ในทริปนี้เราใช้เวลา 7 วัน 6 คืน ตะลุยเที่ยวเมืองฟุกุโอกะ คุมาโมโตะ นางาซากิ โออิตะในภูมิภาคคิวชู เรียกว่าครบถ้วน เต็มอิ่ม ครบรสอย่างแน่นอน
Day 1 (Fukuoka) : Ohori Park - Momochi Beach Park- Fukuoka Tower - Dazaifu Tenmangu Shrine - Canal City Hakata (Stay at Fukuoka)
Day 2 (Fukuoka – Beppu, Oita) : Nanzoin Temple - Kawachi Fuji Garden - Kawachi Dam - Kokura Castle (Stay at Beppu)
Day 3 (Beppu, Oita) : บ่อ 1 Umi-Jigoku - บ่อ 2 Oniishi Bouzu-Jigoku - บ่อ 3 Kamado Jigoku - บ่อ 4 Oniyama Jigoku (Crocodile Farm) - บ่อ 5 Shiraike Jigoku - บ่อ 6 Chinoike Jigoku - บ่อ 7 Tatsumaki Jigoku - Beppu Beach Sand Bath (Stay at Beppu)
Day 4 (Yufuin, Oita) : Yufuin Floral Village - Kinrin Lake - Yunotsubo Streets - Kokonoe Yume Grand Suspension Bridge
Day 5 (Kumamoto) : Kuju Hana Koen - Kusasenri Observator - Aso Valcano Museum - Kusasenri and Eboshidake - Aso Valcano Viewing Park (Stay at Kumamoto)
Day 6 (Kumamoto - Nagasaki) : Kumamoto Castle - Peace Park - Fountain of Peace - Nagasaki Atomic Bomb Museum - Mount Nabekanmuri Park - Mount Inasa night view Ropeway (Stay at Nagasaki)
Day 7 (Nagasaki - Fukuoka) : Oura Cathedral, Glover Garden, Meganebashi Bridge, Huis Ten Bosch (Stay at Fukuoka)
Day 1 (Fukuoka) :
Ohori Park - Momochi Beach Park- Fukuoka Tower - Dazaifu Tenmangu Shrine - Canal City Hakata (Stay at Fukuoka)
วันที่ 1 เริ่มต้นกันที่ฟุกุโอกะ เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ฟุกุโอกะถือเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาคคิวชู เพราะมีสนามบินฟุกุโอกะที่อยู่ใกล้ตัวเมือง จากประเทศไทยก็มีเที่ยวบินตรงมาลงที่นี่ได้เลย ฟุกุโอกะเรียกว่ามีความพร้อมทุกอย่างตามแบบฉบับของเมืองชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเมืองท่าสำคัญระดับประเทศ ย่านเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีความสวยงาม ด้วยระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพ การวางผังเมืองอย่างรอบคอบ รวมถึงพื้นที่สีเขียวที่กระจายตัวอยู่รอบเมืองทำให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งแลนด์มาร์กสำคัญที่เราไม่อาจพลาดไปได้เลยคือ สวนโอโฮริ (Ohori Park) สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะ สวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิ (Momochi Beach Park) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวฮากะตะ ต่อด้วยหอคอยฟุกุโอกะ (Fukuoka Tower) ที่อยู่ไม่ไกลกัน ตามมาด้วยศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine) สถานที่ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองฟุกุโอกะ ปิดท้ายวันแรกด้วยศูนย์การค้าคาแนลซิตี้ (Canal City Hakata) แหล่งรวมร้านค้า ความบันเทิง สวนสนุก โรงแรม ฯลฯ ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่ประจำเมืองฟุกุโอกะแห่งนี้
สวนโอโฮริ (Ohori Park)
สวนโอโฮริ (Ohori Park) สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะ ซึ่งมีสระน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน และมีทางเดินรอบสระน้ำรวมเป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร โดยตัวสวนได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสวนสาธารณะของทะเลสาบเวสต์ในประเทศจีน และยังมีเกาะกลางสระน้ำอยู่ 3 เกาะ ที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินหิน และความที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ทำให้มีการจัดแต่งสวนในสไตล์ที่แตกต่างกันไป ตามแต่ละโซน แต่ยังคงเต็มไปด้วยความร่มรื่น เขียวขจีของต้นไม้ และพื้นที่ให้นั่งพักผ่อนสบายๆ รวมถึงมุมถ่ายรูปสวยๆ มากมาย
ค่าเข้าชม : สวนโอโฮริ เป็นพื้นที่สาธารณะที่เปิดให้คนเข้ามาเยี่ยมชมได้ฟรี แต่จะมีค่าบริการสำหรับการชมส่วนของสวนญี่ปุ่น ราคา 240 เยน, พิพิธภัณฑ์ภายในสวน ราคา 200 เยน, ถีบเรือพาย ราคา 600 - 1,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : สวนโอโฮริ (Ohori Park) เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ตลอดเวลา แต่ส่วนของสวนญี่ปุ่นกับพิพิธภัณฑ์เปิดเวลา 09.00 – 17.30 น. (ปิดทำการทุกวันจันทร์) และเรือพายเปิดเวลา 11.00 – 17.30 น.
พิกัด GPS : 33°35'09.1"N 130°22'34.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนโอโฮริ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=543
สวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิ (Momochi Beach Park)
สวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิ (Momochi Beach Park) เป็นสวนสาธารณะริมทะเลในตัวเมืองฟูกุโอกะ โดยพื้นที่ของสวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของอ่าวฮากะตะ มีหาดทรายกว้างและยาวกว่า 1 กิโลเมตร บริเวณสวนด้านบนจัดสรรเป็นสวนสนขนาดย่อม ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของสวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิคือ โซนที่ยื่นออกไปในทะเลเรียกว่า “มาริซอน” เป็นอาคารรูปทรงสวยแบบอิตาเลียนตั้งโดดเด่น ภายในมีทั้งร้านช้อปปิ้งเล็กๆ น่ารักๆ ร้านอาหาร ภัตตาคาร มุมนั่งพักผ่อน รวมถึงมี Wedding Hall ด้วย สวนสาธารณะริมทะเลแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเดินเล่นชิลๆ ในช่วงเย็นๆ มีชาวเมืองมาวิ่งออกกำลังกายกันที่นี่ นอกจากนี้ละแวกใกล้ๆ กันเพียงเดินข้ามฝั่งถนนยังเป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงอย่างหอคอยฟูกุโอกะด้วย
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 33°35'44.2"N 130°21'04.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1268
หอคอยฟุกุโอกะ (Fukuoka Tower)
หอคอยฟุกุโอกะ (Fukuoka Tower) คือหอคอยที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวฮากาตะ (Hakata Bay) ซึ่งสร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1989 ตัวหอคอยมีความสูง 234 เมตร มีโครงสร้างเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเรขาคณิต ที่ปูด้วยกระจกสีฟ้าแบบครึ่งแผ่น (Half Mirror) จำนวนกว่า 8,000 แผ่น ทั่วด้านนอกของตัวหอคอยซึ่งส่งแสงสะท้อนสีฟ้าใสดูสวยงาม จนถูกยกให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญประจำเมืองฟุกุโอกะ และเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง ที่ไม่ว่าใครได้มาเยือนฟุกุโอกะจะต้องมาเยี่ยมชมกันให้ได้สักครั้ง
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 800 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.30 – 22.00 น.
พิกัด GPS : 33°35'35.9"N 130°21'05.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หอคอยฟุกุโอกะ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=542
ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine)
ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine) เป็นแลนด์มาร์กหลักแห่งหนึ่งประจำเมืองฟุกุโอกะ เพราะไม่เพียงมีแต่ตัวศาลเจ้าที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ และประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองฟุกุโอกะเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบของศาลเจ้า ยังมีสถาปัตยกรรม ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ ที่น่าสนใจไม่แพ้ตัวศาลเจ้าหลักเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นจุดชมดอกบ๊วยที่งดงามที่สุดประจำเมือง จากการที่มีต้นบ๊วยปลูกอยู่ทั่วพื้นที่ ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมได้หนาแน่นทุกวัน และยังเป็นพื้นที่หลักในการจัดพิธีกรรมทางศาสนา และเทศกาลสำคัญๆ ที่สืบทอดกันมายาวนาน อีกมากมาย
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าชมเวลา 06.00 – 19.00 น.
พิกัด GPS : 33°31'16.7"N 130°32'05.3"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=562
ศูนย์การค้าคาแนลซิตี้ (Canal City Hakata)
ศูนย์การค้าคาแนลซิตี้ (Canal City Hakata) แหล่งรวมร้านค้า ความบันเทิง สวนสนุก โรงแรม ฯลฯ ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่ประจำเมืองฟุกุโอกะ โดยตัวศูนย์การค้าถูกออกแบบให้มีความโดดเด่นด้วยรูปทรงโค้งเว้า สีของอาคารที่ดูเด่นสะดุดตา จึงมีมุมถ่ายรูปสวยๆ รวมถึงกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำมากมาย ซึ่งหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของที่นี่จะเป็นลำคลองที่ไหลผ่านใจกลางศูนย์การค้า พร้อมลานแสดงน้ำพุที่จัดเต็มทั้งแสง สี เสียง ตลอดจนเวทีประจำศูนย์การค้า ที่จะมีเปิดการแสดงให้นักท่องเที่ยวที่มาได้ร่วมสนุกกันตลอดทั้งวัน
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00 – 21.00 น. (ร้านอาหารจะปิดประมาณ 23.00 น.)
พิกัด GPS : 33°35'23.3"N 130°24'39.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ศูนย์การค้าคาแนลซิตี้ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=541
Day 2 (Fukuoka – Beppu, Oita) :
Nanzoin Temple - Kawachi Fuji Garden - Kawachi Dam - Kokura Castle (Stay at Beppu)
วันที่ 2 จากตัวเมืองฟุกุโอกะไล่ขึ้นไปทางเหนือ แวะไหว้พระนอนวัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) แล้วเที่ยวสวนคาวาจิ ฟูจิ (Kawachi Fuji Garden) ต่อด้วยชมใบไม้เปลี่ยนสีและเดินข้าม “สะพานมินามิคาวาจิ” ที่พาดข้ามอ่างเก็บน้ำเขื่อนคาวาจิ (Kawachi Dam) จากนั้นไปชมปราสาทโคคุระ (Kokura Castle)ต้นแบบของการสร้างปราสาทตามหัวเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น
วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)
วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) วัดขนาดใหญ่ที่แทรกตัวอยู่กลางธรรมชาติซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ และภูเขาโอบล้อม โดยภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ทำจากทองแดงสำริด ที่ขึ้นชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงบริเวณรอบๆ ยังมีประติมากรรมทางศาสนา และสถาปัตยกรรมน่าสนใจ กระจายตัวอยู่ทั่วพื้นที่ของวัด ที่กว้างขวาง และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของความเก่าแก่ นอกจากนั้นวัดนี้ ยังเป็นศูนย์กลางของพิธีแสวงบุญซาซากุริ (Sasaguri Pilgrimage) ที่ผู้มีศรัทธานิยมมาเริ่มต้นเส้นทางกันที่นี่ ทำให้แม้จะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ห่างออกมาจากตัวเมือง แต่ก็เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และความสวยงามที่ควรค่าแก่การมาเที่ยวชมเช่นกัน
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าไปสักการะขอพร และเยี่ยมชมเวลา 09.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°37'11.3"N 130°34'22.2"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วัดนันโซอิน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=566
สวนคาวาจิ ฟูจิ (Kawachi Fuji Garden)
สวนคาวาจิ ฟูจิ (Kawachi Fuji Garden) กับพื้นที่ครอบคลุม 10,000 ตารางเมตร ภายในสวนมีทัศนียภาพที่สวยงามด้วยต้นไม้ดอกไม้หลากหลายชนิด ตามจริงแล้วสวนแห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล แต่ทางทางเจ้าของสวนนั้นอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเยี่ยมชมความงามของสวนได้โดยมีการเก็บค่าเข้าชม ไฮไลต์สำคัญของสวนคาวาจิ ฟูจิ อยู่ที่อุโมงค์วิสทีเรีย หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่าดอกฟูจิมากกว่า 22 สายพันธุ์หลากสีสัน เลื้อยปกคลุมห้อยระย้าเป็นระยะทางยาวกว่า 100 เมตร ที่พร้อมจะบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ในช่วงปลายเดือนเมษายน – ต้นเดือนพฤษภาคม และ โดมวิสทีเรีย โดมดอกไม้ขนาดใหญ่จากต้นวิสทีเรียเพียงต้นเดียว นอกจากนี้สวนแห่งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามกับต้นเมเปิ้ลราว 700 ต้นที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม และแดงให้ได้ยลตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคมกันอีกด้วย
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชมในช่วงฤดูดอกวิสทีเรียคือ 500 เยน 1,000 เยน หรือ 1,500 เยน ขึ้นอยู่กับสถานะของฤดูกาล
เวลาเปิด-ปิด : สวนเปิดตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น. ในช่วงฤดูดอกวิสทีเรีย (ปลายเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤษภาคม) และ 09.00 – 17.00 น. ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (กลางเดือนพฤศจิกายน - ต้นเดือนธันวาคม)
พิกัด GPS : 33°49'55.9"N 130°47'32.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนคาวาจิ ฟูจิ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1267
เขื่อนคาวาจิ (Kawachi Dam)
เขื่อนคาวาจิ (Kawachi Dam) สร้างเมื่อปี ค.ศ.1919 บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำอิตาบิตสึ จังหวัดฟุกุโอกะ เป็นเขื่อนที่สามารถจุน้ำได้ถึง 7,000,000 ลูกบาศก์เมตร การสร้างเขื่อนแห่งนี้ประหยัดงบประมาณไปได้มากโดยนำหินที่จากภูเขาเมื่อมีการขยายแม่น้ำมาใช้ในการสร้างเขื่อนด้วย วิวทิวทัศน์รอบๆ เขื่อนคาวาจิมีความสวยงามเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นซากุระสีเขียวชอุ่มในช่วงต้นฤดูร้อน หรือใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของเขื่อนคาวาจิ คือ “สะพานมินามิคาวาจิ” (Minami Kawachi-bashi bridge) ที่พาดข้ามอ่างเก็บน้ำเขื่อนคาวาจิ เป็นสะพานเหล็กเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในญี่ปุ่น
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 33°50'16.6"N 130°48'38.9"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เขื่อนคาวาจิ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1266
ปราสาทโคคุระ (Kokura Castle)
ปราสาทโคคุระ (Kokura Castle) เป็นปราสาทที่ก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแท้ๆ มีความสูง 5 ชั้น มีฐานรากเป็นชั้นหินสูงใหญ่ หลักคาที่ไล่ลงมาถึง 4 ระดับ โดยสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย และป้อมปราการของ โฮโซะกาวะ ทาดะโอกิ (Hosokawa Tadaoki) นายพลที่ทรงอิทธิพลในยุคนั้น โดยปราสาทนี้ถูกยกให้เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความแปลกใหม่ และสวยงาม จนใช้เป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทตามหัวเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น ทำให้ปราสาทโคคุระ (Kokura Castle) เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้มีปราสาทสวยๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่นให้ได้ไปเยี่ยมชม มากมาย
ค่าเข้าชม : ค่าบริการสำหรับเยี่ยมชมภายในตัวปราสาท ผู้ใหญ่ 350 เยน / นักเรียนชั้นประถมถึงมัธยมปลาย 100 - 200 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าไปเยี่ยมชมภายในตัวปราสาท เวลา 09.00 – 18.00 น.
พิกัด GPS : 33°53'03.0"N 130°52'26.8"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ปราสาทโคคุระ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=558
Day 3 (Beppu, Oita):
บ่อ 1 สีฟ้า (เขียว) Umi-Jigoku - บ่อ 2 สีเทา Oniishi Bouzu-Jigoku - บ่อ 4 Oniyama Jigoku (Crocodile Farm) - บ่อ 5 Shiraike Jigoku - บ่อ 3 Kamado Jigoku - บ่อ 6 Chinoike Jigoku- บ่อ 7 Tatsumaki Jigoku - Beppu Beach Sand Bath (Stay at Beppu)
วันที่ 3 เที่ยวบ่อนรก หรือ จิโกกุ (Jigoku) ที่เมืองเบปปุ (Beppu) จังหวัดโออิตะ และปิดท้ายด้วยผ่อนคลายความเมื่อยล้ากับบ่อทรายร้อนชายหาดเบปปุ (Beppu Beach Sand Bath) จิโกกุเรียกได้ว่าเป็นแหล่งออนเซนที่มีชื่อเสียงลำดับต้นๆ ของญี่ปุ่น เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายหลังการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 1,200 ปีที่แล้ว บ่อนรกที่ว่านี้มีอยู่ทั้งหมด 7 บ่อด้วยกัน ส่วนแรกตั้งอยู่ในเขตคันนาว่า (Kannawa) มีอยู่ 5 บ่อ แต่ละบ่อตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก ส่วนที่สองมีอยู่ 2 บ่อ ตั้งอยู่ที่เขตชิบาเซกิ (Shibaseki) อยู่ห่างจากกลุ่ม 5 บ่อแรกออกไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร น้ำพุร้อนธรรมชาติเหล่านี้แต่ละบ่อจะมีลักษณะและสีของน้ำที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุในบ่อนั้นๆ สิ่งนี้เองที่สร้างความสวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับการเที่ยวชมให้ครบทุกบ่อ
บ่อ 1 อุมิ จิโกกุ (Umi Jigoku)
อุมิ จิโกกุ (Umi Jigoku) หรือ บ่อทะเลนรก อุมิ จิโกกุ ถือเป็นบ่อที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบ่อน้ำพุร้อนทั้งหมด มีความลึกประมาณ 200 เมตร โดยน้ำในบ่อนี้จะเป็นสีน้ำเงินโคบอลต์หรือคล้ายกับสีของน้ำทะเล เพราะตามชื่อ อุมิ นั้นแปลว่า ทะเล ในภาษาญี่ปุ่น อุณหภูมิของบ่อนี้จะอยู่ที่ประมาณ 98 องศา ด้วยน้ำที่มีความร้อนมากจึงทำให้เกิดควันสีขาวลอยขึ้นมาสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 400 เยนต่อบ่อ หรือ ซื้อบัตรเข้าชมรวมทุกบ่อ ราคา 2,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°19'00.5"N 131°28'07.7"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อุมิ จิโกกุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1111
บ่อ 2 โอนิอิชิ โบสุ จิโกกุ (Oniishi Bozu Jigoku)
โอนิอิชิ โบสุ จิโกกุ (Oniishi Bozu Jigoku) บ่อนี้ได้ฉายาว่า บ่อนรกพระปีศาจหิน ว่ากันว่า ชื่อว่าบ่อนรกโอนิอิชิโบสุ มาจากโคลนที่ผุดออกมามีลักษณะคล้ายกับหัวของพระสงฆ์ คำว่า โบสุ แปลว่า พระสงฆ์ ในภาษาญี่ปุ่น บ่อนี้ให้ความรู้สึกแปลกตาที่สุดโดยมองเผินๆ โคลนในบ่อนั้นจะดูคล้ายๆ กับปูนซีเมนต์ผสมน้ำและมีลักษณะเหลวๆ ด้วยความที่เป็นบ่อโคลนสีเทาที่มีความร้อนถึง 99 องศา จึงให้ความรู้สึกเหมือนโคลนกำลังเดือดปุดๆ
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 400 เยนต่อบ่อ หรือ ซื้อบัตรเข้าชมรวมทุกบ่อ ราคา 2,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°18'55.0"N 131°28'10.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โอนิอิชิ โบสุ จิโกกุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1111
บ่อ 3 คามาโดะ จิโกกุ (Kamado Jigoku)
คามาโดะ จิโกกุ (Kamado Jigoku) หรือ บ่อเตาไฟนรก บ่อแห่งนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวอีกบ่อ ตามตำนานเล่าว่าแต่ก่อนบ่อนี้เคยใช้เป็นที่ปรุงอาหารให้แก่เทพเจ้า ซึ่งชื่อของบ่อนี้ก็มาจากวัฒนธรรมของศาลเจ้า Kamado Hachiman หรือที่เรียกว่า Uchigamado เป็นการหุงข้าวศักดิ์สิทธิ์โดยใช้ไอร้อนจากน้ำพุ น้ำในบ่อนี้มีอุณหภูมิอยู่ที่ 85 องศา โดยภายในบ่อแต่ละจุดก็จะมีสีสันและคุณภาพน้ำที่แตกต่างกันไปด้วย
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 400 เยนต่อบ่อ หรือ ซื้อบัตรเข้าชมรวมทุกบ่อ ราคา 2,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°18'59.0"N 131°28'20.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คามาโดะ จิโกกุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1111
บ่อ 4 Oniyama Jigoku (Crocodile Farm)
โอนิยามะ จิโกกุ (Oniyama Jigoku) บ่อนรกโอนิยามะหรือที่เรียกอีกชื่อว่า “บ่อนรกจระเข้” น้ำในบ่อนี้จะมีลักษณะเป็นสีเขียวอ่อน เหตุที่ชื่อว่าบ่อนรกจระเข้ก็เพราะมีการนำน้ำอุ่นจากบ่อน้ำพุแห่งนี้ไปใช้เลี้ยงสัตว์เขตร้อนอย่างจระเข้ที่มีให้ชมอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ภายในบริเวณพื้นที่ของโอนิยามะ จิโกกุ ยังมีส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม จัดแสดงข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับจระเข้ รวมถึงมีโครงกระดูกที่สมบูรณ์ของจระเข้ให้ชมด้วย
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 400 เยนต่อบ่อ หรือ ซื้อบัตรเข้าชมรวมทุกบ่อ ราคา 2,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°18'57.2"N 131°28'23.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คามาโดะ จิโกกุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1111
บ่อ 5 ชิราอิเกะ จิโกกุ (Shiraike Jigoku)
ชิราอิเกะ จิโกกุ (Shiraike Jigoku) บ่อน้ำพุร้อนชิราอิเกะ ภายในบ่อนี้ประกอบไปด้วยแร่ธาตุอย่างเกลือของกรดบอริก, โซเดียมคลอไรด์, กรดซิลิก และแคลเซียมไบคาร์บอเนต น้ำในบ่อมองเห็นเป็นสีออกเขียวอ่อน ซึ่งภายในบ่อก็จะมีควันพวยพุ่งออกมาเช่นกันกับอีกหลายๆ บ่อ ภายในบริเวณพื้นที่ของชิราอิเกะ จิโกกุ ยังมีส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับปลาพันธุ์ต่างๆ ที่น่าสนใจให้ได้ชมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นปลา Arapaima ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่สกุลหนึ่ง อาศัยในลุ่มน้ำอเมซอน หรือแม่น้ำสายใหญ่อื่นๆ ในทวีปอเมริกาใต้, ปลา Alligator gar, ปลา Redtail catfish และอีกหลายชนิด
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 400 เยนต่อบ่อ หรือ ซื้อบัตรเข้าชมรวมทุกบ่อ ราคา 2,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°18'55.0"N 131°28'26.8"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ชิราอิเกะ จิโกกุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1111
บ่อ 6 ชิโนเกะ จิโกกุ (Chinoke Jigoku)
ชิโนเกะ จิโกกุ (Chinoke Jigoku) ฉายา นรกบ่อเลือด บ่อน้ำพุร้อนชิโนเกะ หรือบ่อโคลนสีแดง เป็นบ่อน้ำพุทางธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น น้ำในบ่อนี้มีอุณหภูมิสูงราวๆ 78 องศา ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาใต้พื้นดินทำความร้อนจากเหล็กออกไซด์กับแมกนีเซียมรวมกัน จนปะทุออกมาเกิดเป็นโคลนสีแดง และทำให้น้ำในบ่อเป็นสีแดงไปด้วยอย่างที่เห็น คนจึงนิยมเรียกกันว่าบ่อเลือดนั่นเอง
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 400 เยนต่อบ่อ หรือ ซื้อบัตรเข้าชมรวมทุกบ่อ ราคา 2,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°19'37.7"N 131°28'41.5"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ชิโนเกะ จิโกกุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1111
บ่อ 7 ทัตสึมากิ จิโกกุ (Tatsumaki Jigoku)
ทัตสึมากิ จิโกกุ (Tatsumaki Jigoku) หรือ บ่อนรกทอร์นาโด บ่อแห่งนี้เป็นแหล่งของไกเซอร์ (Geyser) โดยอุณหภูมิของน้ำใต้ดินนั้นอยู่ที่ 150 องศาเลยทีเดียว ซึ่งน้ำพุร้อนใต้ดินนี้เองที่จะปล่อยน้ำเดือดร่วมกับไอน้ำให้พวยพุ่งออกมาให้ได้ชมกันเป็นระยะทุกๆ 30 – 40 นาที โดยพุ่งได้ได้สูงถึง 50 เมตร ซึ่งแต่ละครั้งที่น้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมาก็เรียกเสียงฮือฮา และสร้างความตื่นเต้นให้แก่นักท่องเที่ยวที่นั่งรอชมอยู่อย่างใจจดใจจ่อได้เป็นอย่างดี
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 400 เยนต่อบ่อ หรือ ซื้อบัตรเข้าชมรวมทุกบ่อ ราคา 2,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°19'37.4"N 131°28'45.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทัตสึมากิ จิโกกุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1111
บ่อทรายร้อนชายหาดเบปปุ (Beppu Beach Sand Bath)
นอกจากเมืองเบปปุในจังหวัดโออิตะจะขึ้นชื่อเรื่องบ่อน้ำพุร้อนที่มีกระจายอยู่รอบตัวเมืองแล้ว บ่อทรายร้อนที่ชายหาดเบปปุก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนนิยมมาอบทรายร้อนกัน การอบทรายร้อนนั้นช่วยส่งผลในด้านสุขภาพ ความงามของผิวพรรณ และผ่อนคลายความเมื่อยล้าเทียบเท่ากับการเข้าออนเซ็นเลยก็ว่าได้ ซึ่งการอบทรายร้อนที่ชายหาดเบปปุนี้นักท่องเที่ยวจะได้รับแจกชุดยูกาตะซึ่งเป็นชุดกิโมโนสำหรับหน้าร้อน พร้อมด้วยผ้าขนหนูไว้ห่มระหว่างที่อบทราย โดยปกติแล้วจะถูกกลบด้วยทรายจนถึงคอ จากนั้นร่างกายจะค่อยๆ รู้สึกร้อนระอุ หลังจากที่อบทรายร้อนเสร็จก็จะเป็นออนเซ็นน้ำร้อนเพื่อล้างทรายออกจากตัว การอบทรายร้อนใช้เวลาประมาณ 15 นาที โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 1,040 เยน บรรยากาศริมหาด เสียงคลื่นทะเล กับการอบทรายร้อนเป็นสิ่งที่ต้องลองสักครั้งหากมาเที่ยวเบปปุ
ค่าบริการ : 1,040 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เดือนมีนาคม - พฤศจิกายน เปิดทุกวัน เวลา 08.30 - 18.00 น. เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ เปิดทุกวัน เวลา 09.00 - 17.00 น.
พิกัด GPS : 33°18'43.2"N 131°30'06.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ บ่อทรายร้อนชายหาดเบปปุ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1134
Day 4 (Kumamoto) :
Yufuin Floral Village - Kinrin Lake - Yunotsubo Streets - Kokonoe Yume Grand Suspension Bridge (Stay at Yufuin)
วันที่ 4 เที่ยวยุฟุอิน เมืองเล็กๆ ในจังหวัดโออิตะที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาสัมผัสกันเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่สีสันความงามยิ่งแต่งแต้มให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีเสน่ห์ อบอุ่น และโรแมนติกยิ่งขึ้นอีก โดยมีที่เที่ยวหลักๆ คือหมู่บ้านยูฟุอิน ฟลอรัล (Yufuin Floral Village) แล้วแวะไปชมทัศนียภาพสวยๆรอบทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ต่อด้วยเดินเที่ยวถนนช้อปปิ้งยูโนะสึโบะ (Yunotsubo Streets) จากนั้นไปเที่ยวสะพานแขวนยูเมะ (Kokonoe Yume Suspension Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินที่ยาวและสูงที่สุดในโลก
หมู่บ้านยูฟุอิน ฟลอรัล (Yufuin Floral Village)
หมู่บ้านยูฟุอิน ฟลอรัล (Yufuin Floral Village) หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาในจังหวัดโออิตะ ที่กรุ่นกลิ่นอายสไตล์ยุโรป ด้วยบ้านอิฐหลังน้อยที่ด้านในเป็นทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ของกระจุกกระจิกเรียงรายตลอดสองข้างถนนและตกแต่งด้วยดอกไม้สวยๆ หลากชนิด ให้บรรยากาศที่สวยงาม อบอุ่น สบายๆ ใครที่มายูฟุอินต่างก็จะต้องมาเดินเล่นถ่ายรูปกันที่หมู่บ้านน่ารักๆ แห่งนี้ โดยร้านค้าแต่ละร้านภายในหมู่บ้านตกแต่งได้อย่างน่าสนใจและสินค้ามักไม่ค่อยซ้ำกัน นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินชมเข้าร้านนี้ออกร้านนั้นได้อย่างเพลิดเพลิน หากเดินไปจนสุดทางของย่านร้านค้าก็จะเป็นทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) อีกหนึ่งจุดห้ามพลาดเมื่อมายูฟุอิน
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.30 – 17.30 น.
พิกัด GPS : 33°16'02.9"N 131°21'56.3"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ หมู่บ้านยูฟุอิน ฟลอรัล ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1137
ทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake)
ทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ทะเลสาบเล็กๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองยูฟุอิน (Yufuin) จังหวัดโออิตะ (Oita) นอกจากความสวยงามของธรรมชาติแล้ว ความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้คือน้ำในทะเลสาบที่ไหลมาจากน้ำพุร้อน จึงทำให้น้ำในทะเลสาบอุ่นอยู่ตลอดเวลา โดยในตอนเช้าบริเวณผิวน้ำจะมีไอน้ำลอยขึ้นมา ทะเลสาบคินรินถือเป็นอีกหนึ่งทะเลสาบที่มีทัศนียภาพรอบๆ ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูหนาว รอบๆ ทะเลสาบมีทางให้เดินไปท่ามกลางธรรมชาติ บางจุดก็ยื่นเข้าไปในทะเลสาบ เหมาะแก่การมาเดินเล่น ถ่ายรูปสวยๆ โดยมีทะเลสาบแห่งนี้กับภูเขายุฟุดาเกะตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังเป็นฉากหลัง
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 33°16'00.2"N 131°22'09.3"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทะเลสาบคินริน ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1133
ถนนช้อปปิ้งยูโนะสึโบะ (Yunotsubo Streets)
ถนนช้อปปิ้งยูโนะสึโบะ (Yunotsubo Streets) ถนนช้อปปิ้งความยาวกว่า 700 เมตร อยู่ติดกันกับหมู่บ้านยูฟุอิน ฟลอรัล ตลอดสองข้างถนนยูโนะสึโบะเรียงรายไปด้วยร้านค้าต่างๆ และบ้านเรือนของผู้คนสลับกันไป บรรยากาศโดยรอบนั้นทำให้เดินได้เพลินเลย เพราะแต่ละร้านตกแต่งได้อย่างน่ารักลงตัว สินค้าโดยมากจะเป็นประเภทของกิ๊ฟท์ช้อปน่ารักๆ ของที่ระลึกกระจุกกระจิก รวมถึงร้านขายของที่ระลึกจากสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยร้านขายขนมอร่อยๆ ซึ่งล้วนเป็นของขึ้นชื่อประจำจังหวัด และที่นี่เองคือต้นแบบไอเดียสินค้า OTOP หรือ “1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์” ในเมืองไทย
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 33°16'02.4"N 131°21'46.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ถนนช้อปปิ้งยูโนะสึโบะ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1132
สะพานแขวนยูเมะ (Kokonoe Yume Suspension Bridge)
สะพานแขวนยูเมะ (Kokonoe Yume Suspension Bridge) ตั้งอยู่แถบคุซู ในจังหวัดโออิตะ สะพานแห่งนี้ถือเป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินที่ยาวและสูงที่สุดในโลก โดยมีความสูง 173 เมตร และความยาว 375 เมตร นอกจากความเย็นจากป่าที่อุดมสมบูรณ์โดยรอบขนาดที่ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่มีสีเขียวมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นแล้ว ที่ตั้งของสะพานแขวนยูเมะซึ่งอยู่ระหว่างช่องเขาก็ทำให้บริเวณสะพานมีลมพัดเย็นตลอด โดยระหว่างทางเดินข้ามสะพานยังสามารถมองเห็นน้ำตกขนาดใหญ่ 2 แห่ง ซึ่งน้ำตกที่มองเห็นก่อนเข้าสะพานแขวนยูเมะคือน้ำตก “ชินโดโนตากิ” (Shindonotaki) เป็นน้ำตกที่ติด 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่นด้วย
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 500 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เดือนมกราคม - มิถุนายน และ เดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม เปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 17.00 น., เดือนกันยายน – ตุลาคม เปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 18.00 น.
พิกัด GPS : 33°10'21.1"N 131°13'32.2"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สะพานแขวนยูเมะ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1136
Day 5 (Kumamoto) :
Kuju Hana Koen - Kusasenri Observatory - Aso Valcano Museum - Kusasenri and Eboshidake - Aso Valcano Viewing Park (Stay at Kumamoto)
วันที่ 5 เดินทางไปชมสวนดอกไม้คูจู (Kuju Hana Koen) บริเวณเชิงเขาทางทิศใต้ของเทือกเขาคูจู ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่จังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) อีกหนึ่งเมืองเด่นแห่งเกาะคิวชูที่มีแลนด์มาร์กสำคัญอย่างภูเขาไฟอะโสะ (Mt. Aso) ที่ยังคงคุกรุ่น โดยตลอดเส้นทางนั้นก็มีจุดชมวิวสวยๆ ให้แวะชมกันหลายจุด รวมถึงได้เก็บเกี่ยวความรู้เกี่ยวกับภูเขาไฟกลุ่มนี้ที่พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโสะด้วย
สวนดอกไม้คูจู (Kuju Hana Koen)
สวนดอกไม้คูจู (Kuju Hana Koen) อยู่บริเวณเชิงเขาทางทิศใต้ของเทือกเขาคูจู (Kuju Mountain) จังหวัดโออิตะ สวนดอกไม้แห่งนี้เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะคิวชู บนพื้นที่กว่า 130 ไร่ โดยมีดอกไม้มากกว่า 3 ล้านดอก จากกว่า 500 สายพันธุ์ที่จะเบ่งบานตามฤดูกาลเผยความงามให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมและเก็บเกี่ยวความประทับใจ ภายในสวนดอกไม้คูจูมีทางเดินขนาดใหญ่วนรอบไปทั่วทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ซึ่งการจัดแปลงดอกไม้นั้นทางสวนจัดโดยรวมเอาชนิดที่บานพร้อมๆ กันมาไว้ด้วยกัน ทำให้กลายเป็นสีสันที่ต่อเนื่อง สวยงาม นอกจากนี้ภายในสวนดอกไม้คูจูยังมีเรือนกระจกที่จัดแสดงดอกไม้เมืองร้อนอื่นๆ ร้านขายของที่ระลึก ร้านขนม และหากมาเที่ยวในวันเสาร์หรืออาทิตย์ก็จะได้ชมสินค้าสวดๆ จากไร่ทั้งผักและผลไม้ต่างๆ ที่ชาวสวนท้องถิ่นนำมาขายด้วย
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 1,300 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30 - 17.30 น. ปิดทำการในฤดูหนาว ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์
พิกัด GPS : 33°02'53.2"N 131°14'37.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนดอกไม้คูจู ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1135
จุดชมวิวคุซะเซนริ (Kusasenri Observatory)
จุดชมวิวคุซะเซนริ (Kusasenri Observatory) ไม่ไกลจากจุดชมวิวทุ่งหญ้าคุซะเซนริและปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิดาเกะ มีจุดชมวิวคุซะเซนริ (Kusasenri Observatory) ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะได้ดื่มด่ำกับวิวสวยๆ จากมุมสูงบริเวณภูเขาไฟอะโซะอย่างเต็มตา โดยมีพระเอกอย่างปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา คอยดึงดูดทุกๆ สายตาให้จับจ้องไปที่จุดเดียวกัน
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : 20 มีนาคม – 31 ตุลาคม เวลา 08.30 – 17.30 น., 1 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน เวลา 08.30 – 17.00 น., 1 ธันวาคม – 19 มีนาคม เวลา 09.00 – 16.30 น.
พิกัด GPS : 32°53'10.9"N 131°03'07.7"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ จุดชมวิวคุซะเซนริ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1238
พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโสะ (Aso Valcano Museum)
พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโสะ (Aso Valcano Museum) ใกล้ๆ กับจุดชมวิวคุซะเซนรินี้เอง จะมีทางเดินขึ้น-ลงเนินเล็กๆ ระยะทางราวๆ 170 เมตร ด้านล่างของเนินเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโสะ (Aso Valcano Museum) ภายในจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาไฟลูกนี้ในรูปแบบ 3 มิติไว้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูลการคาดการณ์การเกิดหรือปะทุของภูเขาไฟในอนาคตด้วย
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 1,100 เยน
เวลาเปิด-ปิด : พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00 - 16.30 น.
พิกัด GPS : 32°53'08.1"N 131°03'07.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโสะ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1238
จุดชมวิวทุ่งหญ้าคุซะเซนริและปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิดาเกะ (Kusasenri and Eboshidake)
จุดชมวิวทุ่งหญ้าคุซะเซนริและปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิดาเกะ (Kusasenri and Eboshidake) บริเวณนี้มีจุดชมวิวทุ่งหญ้าคุซะเซนริและปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิดาเกะ (Kusasenri and Eboshidake) ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นฉากหลัง และยังสามารถมองเห็นปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะที่คุกรุ่น รวมถึงปากปล่องภูเขาไฟทาคาดาเกะที่อยู่ถัดออกไป นอกจากจะเป็นจุดแวะเที่ยวที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดชมทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยที่สุดระหว่างขับรถเที่ยวบริเวณภูเขาไฟอะโซะแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งปศุสัตว์ย่อยๆ ด้วย โดยจะสังเกตเห็นว่ามีแอ่งน้ำอยู่สองบ่ออยู่ใกล้ๆ กัน ในช่วงฤดูที่หญ้าเขียวขจีและน้ำเต็มบ่อ สัตว์น้อยใหญ่อย่างวัวและม้าก็จะมาเล็มหญ้าหาอาหารกินกันที่นี่ เป็นอีกบรรยากาศ ที่สวยงามแตกต่างออกไป ทั้งนี้ แม้จะมาเที่ยวในช่วงฤดูอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ได้สัมผัสกับภาพทิวทัศน์แบบนั้น เขาก็มีบริการขี่ม้าเที่ยวชมรอบๆ บริเวณทุ่งหญ้าคุซะเซนริให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอยู่โดยตลอด
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : 20 มีนาคม – 31 ตุลาคม เวลา 08.30 – 17.30 น., 1 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน เวลา 08.30 – 17.00 น., 1 ธันวาคม – 19 มีนาคม เวลา 09.00 – 16.30 น.
พิกัด GPS : 32°52'54.5"N 131°03'12.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ จุดชมวิวทุ่งหญ้าคุซะเซนริและปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิดาเกะ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1238
สวนชมวิวภูเขาไฟอะโสะ (Aso Volcano Viewing Park)
ห่างจากจุดชมวิวคุซะเซนริขึ้นมาประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะเป็น สวนชมวิวภูเขาไฟอะโสะ (Aso Volcano Viewing Park) ทัศนียภาพรอบๆ มีความสวยงาม ให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับปากปล่องภูเขาไฟขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งภายในบริเวณเดียวกันนี้เองก็เป็นตั้งของ อะโสะ ซันโจ เทอมินัล (Aso Sanjo Terminal) / ศาลเจ้าอะโสะ ซันโจ (Aso Sanjo Shrine) และจุดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมวิวเหนือปากปล่องภูเขาไฟด้วย
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : 20 มีนาคม – 31 ตุลาคม เวลา 08.30 – 17.30 น., 1 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน เวลา 08.30 – 17.00 น., 1 ธันวาคม – 19 มีนาคม เวลา 09.00 – 16.30 น.
พิกัด GPS : 32°52'47.6"N 131°04'26.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนชมวิวภูเขาไฟอะโสะ ได้ที่ : https://palanla.com/th/abroadLocation/detail/1238
Day 6 (Kumamoto - Nagasaki) :
Kumamoto Castle - Peace Park - Fountain of Peace - Nagasaki Atomic Bomb Museum - Mount Nabekanmuri Park - Mount Inasa night view Ropeway (Stay at Nagasaki)
วันที่ 6 เริ่มต้นที่ปราสาทคุมาโมโตะ จากนั้นเดินทางต่อไปยังจังหวัดนางาซากิกับระยะทาง 202 กิโลเมตร นางาซากิเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “หน้าต่างสู่ประเทศญี่ปุ่น” เนื่องจากในช่วงศตวรรษที่ 17 – 19 ที่ญี่ปุ่นปิดประเทศและงดความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ นางาซากิเป็นเพียงจังหวัดเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการค้าขายกับต่างชาติอย่างเนเธอร์แลนด์และจีน แม้ว่าจังหวัดนางาซากิมักถูกจดจำในฐานะโศกนาฏกรรมในสงครามโลกครั้งที่สอง ทว่าจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายที่ไม่ได้มีเฉพาะกลิ่นอายของสงครามและความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุกขนาดใหญ่ จุดชมวิวสวยๆสุดโรแมนติก ไปจนถึงย่านไชน่าทาวน์ชุมชนชาวจีนสุดคึกคัก
ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle)
ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “กินนันโจ” (ปราสาทกิงโกะ)แลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดคุมาโมโตะ และยังถือเป็นหนึ่งในสามของปราสาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยสิ่งที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้โด่งดังมากๆ และทำหน้าที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวเกือบสองล้านคนต่อปีก็มาจากความครบถ้วน สมบูรณ์ของสถาปัตยกรรม และความหลากหลายของอาคารในพื้นที่ของปราสาทที่หาชมได้ยาก ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองคุมาโมโตะ คาดว่าถูกสร้างราวปี ค.ศ. 1601 โดยคาโตะ คิโยมาสะ และใช้เวลาในการก่อสร้างเจ็ดปีจึงแล้วเสร็จ ด้านนอกของปราสาทคุมาโมโตะมีสีดำน่าเกรงขามและมีกำแพงที่ลาดชัน เพื่อป้องกันการบุกรุกของข้าศึก อีกทั้งยังออกแบบมาพิเศษเพื่อขัดขวางไม่ให้นินจาโจมตีได้ในสมัยก่อน
ค่าเข้าชม : 500 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 18.00 น. (ช่วงเดือนพฤศจิกายน – เดือนมีนาคม ปิดเวลา 17.00 น.)
พิกัด GPS : 32°48'21.7"N 130°42'21.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ปราสาทคุมาโมโตะ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1122
สวนสันติภาพนางาซากิ (Peace Park)
สวนสันติภาพนางาซากิ (Peace Park) สวนสาธารณะที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณด้านหน้าสวนสันติภาพแห่งนี้มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นคือ น้ำพุแห่งสันติภาพ (Fountain of Peace) กับ อนุสาวรีย์แห่งสันติภาพ (Peace Statue) ประติมากรรมโลหะสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่รูปชายคนหนึ่ง ความสูง 9.7 เมตร น้ำหนัก 30 ตัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาของชาวเมืองนางาซากิเพื่อสันติภาพโดยมือขวาของรูปปั้นชี้ขึ้นฟ้าคือการเตือน "ภัยคุกคามของระเบิดปรมาณู" มือซ้ายเหยียดยาวในแนวราบขนานกับพื้นคือ "สันติภาพ" ส่วนตาที่ปิดลงอย่างสงบคือ "การอธิษฐานเพื่อความสุขของผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู” ภายในสวนยังมีประติมากรรมอื่นๆ ที่ถูกส่งมาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อร่วมเรียกร้องให้เกิดความสงบสุขให้ได้ชมอย่างเพลิดเพลิน
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 32°46'35.2"N 129°51'49.3"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนสันติภาพนางาซากิ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1129
น้ำพุแห่งสันติภาพ (Fountain of Peace)
น้ำพุแห่งสันติภาพ (Fountain of Peace) ตั้งอยู่ด้านหน้าของสวนสันติภาพนางาซากิ (Peace Park) น้ำพุแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตเพราะขาดน้ำจากระเบิดปรมาณูให้ไปสู่สุขติ จากความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในวันที่นางาซากิโดนระเบิดปรมาณูที่ใช้เชื้อเพลิงพลูโตเนียมในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นเหตุให้ผู้คนล้มตายและผู้ที่รอดชีวิตต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษร้ายของสารพลูโตเนียมไปเกือบทั้งเมือง โดยในวันที่ 9 สิงหาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่มีการทิ้งระเบิดปรมาณู จะมีการจัดงานระลึกถึงสันติภาพและเพื่ออุทิศแด่ดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิต ที่บริเวณน้ำพุแห่งสันติภาพนี้ด้วย
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 32°46'31.6"N 129°51'47.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ น้ำพุแห่งสันติภาพ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1125
พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum)
พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum) ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสวนสันติภาพ (Peace Park) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นสิ่งเตือนใจให้ผู้คนได้ระลึกถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในวันที่นางาซากิโดน “เจ้าอ้วน” (Fat Man) ระเบิดปรมาณูเชื้อเพลิงพลูโตเนียมลูกที่ 2 ถล่มต่อจากเมืองฮิโรชิม่า ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 4 โซนด้วยกัน จัดแสดงเรื่องราว ข้อมูลเหตุการณ์ และซากชิ้นส่วนสิ่งของต่างๆ ตั้งแต่ก่อนการถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณูจนถึงวินาทีแห่งความหายนะ กระทั่งทำให้ญี่ปุ่นยอมยกธงขาวต่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา นอกจากนี้ยังจัดแสดงข้อมูลที่ทำให้ทราบว่า ปัจจุบันยังมีประเทศใดบ้างในโลกที่สะสมอาวุธร้ายแรงและทดลองระเบิดปรมาณูอยู่
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 200 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30 – 17.30 น.
พิกัด GPS : 32°46'21.1"N 129°51'52.4"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1127
จุดชมวิวภูเขานาเบะคันมูริ (Mount Nabekanmuri Park)
จุดชมวิวภูเขานาเบะคันมูริ (Mount Nabekanmuri Park) อีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงามของเมืองนางาซากิที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนไม่เคยรู้มาก่อน โดยอยู่ใกล้ๆกับสวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนางาซากิ ด้านบนจุดชมวิวภูเขานาเบะคันมูริสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามแบบ 360 องศา ทั้งท่าต่อเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม โดยท่าต่อเรือนี้ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สำคัญของบริษัทมิตซูบิชิ นอกจากนี้ยังมองเห็นสะพานแขวนเมงามิโอฮาชิ (Megamio Bridge) สะพานความยาวอันดับ 7 ของโลก ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างนางาซากิฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้เข้าด้วยกัน
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 32°43'45.5"N 129°52'08.5"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ จุดชมวิวภูเขานาเบะคันมูริ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1124
จุดชมวิวกลางคืนภูเขาอินาสะยามะ (Mount Inasa Night View Ropeway)
จุดชมวิวกลางคืนภูเขาอินาสะยามะ (Mount Inasa Night View Ropeway) เรียกได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเรื่องทิวทัศน์ตอนกลางคืน กับความสูง 333 เมตรจากระดับน้ำทะเลของจุดชมวิวที่จะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป จึงทำให้เป็นจุดที่สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองนางาซากิได้งดงามโดยเฉพาะในยามค่ำคืน จุดชมวิวกลางคืนบนภูเขาอินาสะยามะนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ขนาดที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน "สามทิวทัศน์ที่สวยที่สุดในโลก" พร้อมกับของฮ่องกงและโมนาโก ในงาน "Night View Summit 2012 in Nagasaki" ที่จัดขึ้นในปี 2012 ทิวทัศน์ตอนกลางคืนนี้จากบนนี้สวยงามจนมีคนเปรียบว่า "เป็นวิวที่มีค่าสิบล้านดอลลาร์" เลยทีเดียว
ค่าเข้าชม : จุดชมวิวไม่มีค่าใช้จ่าย (โรปเวย์สถานีฟุจิจินจะ (Fuchijinja) ถึงสถานีอินาสะดาเกะ (Inasadake) ไปกลับ 1,230 เยน เที่ยวเดียว 720 เยน / รถบัสขึ้นยอดเขาเที่ยวเดียว 150 เยน)
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.00 - 22.00 น.
พิกัด GPS : 32°45'10.0"N 129°50'57.6"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ จุดชมวิวกลางคืนภูเขาอินาสะยามะ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1123
Day 7 (Nagasaki - Fukuoka) :
Oura Cathedral, Glover Garden, Meganebashi Bridge, Huis Ten Bosch (Stay at Fukuoka)
วันที่ 7 เก็บตกที่เที่ยวในนางาซากิ เที่ยวโบสถ์โออุระ (Oura Church) ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์สถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ต่อด้วยสวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) สวนสวยบนเนินเขาริมทะเลที่สร้างโดยพ่อค้าชาวสกอตแลนด์ในยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ แล้วมาเดินชมสะพานมากาเนะบาชิ (Meganebashi Bridge) หรือ “สะพานแว่นตา” สะพานหินแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น และยังติด 1 ใน 3 สะพานหินที่ได้รับยกย่องว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่นด้วย ปิดท้ายด้วยฮูส เทน บอช (Huis Ten Bosch) ธีมปาร์คขนาดใหญ่ที่จำลองมาจากเมืองในประเทศฮอลแลนด์มาไว้ที่ญี่ปุ่น ก่อนจะกลับไปพักที่ฟุกุโอกะเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
โบสถ์โออุระ (Oura Church)
โบสถ์โออุระ (Oura Church) หรือชื่อทางการว่า “โบสถ์ 26 นักบุญของญี่ปุ่น” เป็นโบสถ์คริสต์สถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สร้างเสร็จเมื่อปลายปี ค.ศ. 1864 และเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดมา โบสถ์โออุระมีลักษณะโดดเด่นด้วยโทนสีขาว ให้ความรู้สึกอบอุ่น สะอาดตา ส่วนภายในโบสถ์นั้นตกแต่งด้วยกระจกสีประดับอย่างงดงาม ว่ากันว่าของเดิมนั้นเป็นกระจกสีที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยหลังจากถูกทำลายในสงครามโลกครั้งที่ 2 โบสถ์แห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นใหม่ และได้มีการสั่งกระจกสีมาใหม่จากบริษัทโรเจอร์ในปารีส ประเทศฝรั่งเศส มาทดแทนของเดิม โบสถ์โออุระได้รับการสถาปนาให้เป็นมรดกแห่งชาติญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1933 และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2018 โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ด้วย
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 1,000 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 – 18.00 น.
พิกัด GPS : 32°44'03.0"N 129°52'12.5"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โบสถ์โออุระ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1126
สวนโกลฟเวอร์ ( Glover Garden)
สวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) สวนสวยบนเนินเขาริมทะเลที่สามารถมองเห็นท่าเรือนางาซากิ ผู้สร้างสวนแห่งนี้ขึ้นคือ โทมัส เบลค โกลฟเวอร์ (Thomas Blake Glover) พ่อค้าชาวสกอตแลนด์ที่เข้ามาทำการค้าในนางาซากิยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ โดยมีแค่เมืองท่าอย่างนางาซากิเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ สวนโกลฟเวอร์ถือเป็นจุดทรงคุณค่าที่ยังคงสภาพของประวัติศาสตร์และอาคารแบบต่างประเทศไว้อย่างดีเยี่ยม โดยมีการนำอาคารสไตล์ตะวันตกที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองนางาซากิย้ายมาไว้ที่นี่ บูรณะ และเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมในฐานะพื้นที่ตั้งถิ่นฐานชาวต่างชาติในอดีต
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชม 620 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 - 18.00 น. (ช่วงเทศกาลคริสต์มาส เปิดถึง 21.00 น.)
พิกัด GPS : 32°44'03.6"N 129°52'09.0"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนโกลฟเวอร์ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1128
สะพานมากาเนะบาชิ (Meganebashi Bridge)
สะพานมากาเนะบาชิ (Meganebashi Bridge) หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “สะพานแว่นตา” สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1634 เพื่อข้ามแม่น้ำนาคาจิมะ (Nakajima) ที่ไหลผ่านใจกลางเมืองนางาซากิ สะพานแห่งนี้มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม 2 วงติดกัน ที่เมื่อภาพของสะพานสะท้อนลงบนผิวน้ำจะเห็นเป็นวงกลมเต็มวง 2 วงคล้ายแว่นตา ไม่เพียงแต่ความโดดเด่นของตัวสะพานเท่านั้น เพราะสะพานนี้คือสะพานหินแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น และยังติด 1 ใน 3 สะพานหินที่ได้รับยกย่องว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่นด้วย ด้วยลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่นสะดุดตา สะพานมากาเนะบาชิ หรือ “สะพานแว่นตา” จึงกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองนางาซากิไปโดยปริยาย
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด GPS : 32°44'49.9"N 129°52'48.1"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สะพานมากาเนะบาชิ ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1130
ฮูส เทน บอช (Huis Ten Bosch)
ฮูส เทน บอช (Huis Ten Bosch) เป็นธีมปาร์คหรือสวนสนุกขนาดใหญ่กับความกว้างถึง 1,520,000 ตารางเมตร ที่จำลองมาจากเมืองในประเทศฮอลแลนด์เพียงแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่น โดยได้รวบรวมเอาสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และศิลปกรรมขนานแท้ของฮอลแลนด์ไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอาคารสไตล์ยุโรป หอนาฬิกา กังหันลม คูน้ำทอดยาวถึง 6 กิโลเมตร สวนดอกไม้นานาพรรณ เรียกว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นดัตช์ โดยภายในฮูส เทน บอชนั้นประกอบด้วยโซนที่เป็นเครื่องเล่น โซนช้อปปิ้ง ร้านอาหารมากมาย และสวนดอกไม้ที่มีดอกไม้สวยๆ ให้ชมแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ซึ่งสิ่งที่เป็นไฮไลต์และได้รับความนิยมอย่างมากของที่นี่ก็คือเทศกาลชมดอกทิวลิปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ค่าเข้าชม : บัตรผ่านประตู + เครื่องเล่น ผู้ใหญ่ 7,000 เยน, เด็กมัธยม 6,000 เยน, เด็กประถม 4,600 เยนบัตรผ่านประตู+รถบัสโดยสารในสวนสนุก (ไม่รวมเครื่องเล่น) ผู้ใหญ่ 4,500 เยน, เด็กมัธยม 3,500 เยน, เด็กประถม 2,200 เยน
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.00 - 22.00 น.
พิกัด GPS : 33°05'07.5"N 129°47'18.8"E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ฮูส เทน บอช ได้ที่ : https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=1131
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ
ช็อคโกแลตฮิลส์ จังหวัดโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์
ช็อคโกแลตฮิลส์ (Chocolate Hills) ตั้งอยู่บนเกาะโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเนินเขาลูกย่อมๆ ทรงกรวยคว่ำที่มีลักษณะค่อนข้างจะสมมาตร เรียงกันเป็นบริเวณกว้าง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 50 ตารางกิโลเมตร ลูกที่ใหญ่ที่สุดมีความสูงถึง 120 เมตร ความน่าอัศจรรย์อันเกิดจากฝีมือของธรรมชาติที่สวยงามเหล่านี้ คือหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญของเกาะหรือจังหวัดโบฮอล
อ่านต่อ5 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกาะโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์
เกาะโบฮอล (Bohol) มีฐานะเป็นทั้งเกาะและจังหวัด โดยมีเมืองหลวงที่ชื่อว่าตัคบิลารัน (Takbilarun) โบฮอลเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 10 ของฟิลิปปินส์ และเกาะนี้ยังถูกเลือกให้เป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกของฟิลิปปินส์อีกด้วย เกาะโบฮอลมีความอุดมสมบูรณ์และสภาพภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย โดยโซนทางใต้ของเกาะเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงหลายจุด… Palanla จะพาไปชมความสวยงามและน่าอัศจรรย์ทางธรรมชาติของฟิลิปปินส์ที่คุณอาดไม่เคยคาดคิด ผ่าน 5 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกาะโบฮอล ดังต่อไปนี้
อ่านต่อหาดอโลนา จังหวัดโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์
หาดอโลนา (Alona Beach) เป็นหนึ่งในชายหาดที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดของเกาะปังเลา จังหวัดโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าครามใส และบรรยากาศที่คึกคัก ทำให้หาดอโลนาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด
อ่านต่อล่องเรือแม่น้ำโลบ็อค จังหวัดโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์
ล่องเรือแม่น้ำโลบ็อค (Loboc River Cruise) เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเกาะโบฮอล เพราะแม่น้ำสายนี้ถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเกาะหรือจังหวัดโบฮอล การล่องเรือไปตามแม่น้ำจะทำให้ได้สัมผัสเสน่ห์ธรรมชาติ และเห็นวิถีชีวิตสองฝั่งของคนบนเกาะนี้
อ่านต่อเกาะเวอร์จิน จังหวัดโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์
เกาะเวอร์จิน (Virgin Island / Pungtud Island) อีกหนึ่งความสวยงามและมีเอกลักษณ์ของโบฮอล ด้วยหาดทรายขาวละเอียด ผืนน้ำบริสุทธิ์ และสันทรายรูปตัว C ที่ทอดยาวไปจนลับตา
อ่านต่อเกาะบาลิคาซัค จังหวัดโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์
เกาะบาลิคาซัค (Balicasag Island) เป็นอีกหนึ่งอัญมณีที่ซ่อนอยู่ของจังหวัดโบฮอล ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยความโดดเด่นทางธรรมชาติที่งดงาม ทั้งแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ ชายหาดทรายขาวละเอียด และน้ำทะเลสีฟ้าครามใสราวกระจก ทำให้ที่นี่เป็นสวรรค์สำหรับนักดำน้ำตื้นและนักดำน้ำลึก รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบการพักผ่อนริมทะเล
อ่านต่อเกาะนามิ จังหวัดคังวอน ประเทศเกาหลีใต้
เกาะนามิ (Nami Island) เป็นเกาะเล็กๆ ในจังหวัดคังวอน (Gangwon) ไม่ไกลจากกรุงโซล ขึ้นเชื่อเรื่องธรรมชาติที่สวยงามและความโรแมนติก โดยเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรียส์เกาหลีเรื่อง Winter Sonata หรือชื่อไทยว่า “เพลงรักในสายลมหนาว” ที่แฟนซีรียส์จำนวนมากต้องไม่พลาดไปตามรอย
อ่านต่ออุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย เมืองจางเจียเจี้ย ประเทศจีน
อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie National Forest Park) เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของจีน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลหูหนาน ประเทศจีน สวรรค์บนดินแห่งนี้เผยให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ด้วยความสวยงามตระการตาของภูเขาหินทรายที่สูงตระหง่านกับป่าไม้เขียวชอุ่ม จางเจียเจี้ยจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์เรื่อง Avatar จนได้รับการขนานนามว่า "แพนโดร่าแห่งโลกมนุษย์"
อ่านต่อภูเขาเทียนเหมินซาน เมืองจางเจียเจี้ย ประเทศจีน
ภูเขาเทียนเหมินซาน (Tianmen Shan) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในจางเจียเจี้ย มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ด้วยสถานที่มหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ถูกขนานนามว่า "ประตูสวรรค์" บวกกับความสวยงามของธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ใจระดับ 5 A ที่นี่จึงได้รับยกย่องให้เป็นภูเขาที่สวยที่สุด 1 ใน 4 ของจีน และยังได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1992 อีกด้วย
อ่านต่อแกรนด์แคนยอนจางเจียเจี้ย เมืองจางเจียเจี้ย ประเทศจีน
แกรนด์แคนยอนจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie Grand Canyon) เป็นที่ตั้งของสะพานกระจกข้ามเขาที่ยาวและสูงที่สุดในโลกกับ สะพานแก้วจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie Glass Floor Bridge) ทางเดินลอยฟ้าเหนือแกรนด์แคนยอนอันตระการตา
อ่านต่อ