10 สถานที่เที่ยวยอดนิยมในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

  • อ่าน (8,439)
  • By Webmaster
  • 11:59:10 | 30 ม.ค. 2567

10 สถานที่เที่ยวยอดนิยมในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

Top 10 Travel Destinations in Venice, Italy

 

           เมืองเวนิส (Venice / Venezia) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี (Italy) ในพื้นที่ของแคว้นเวเนโต (Veneto Region) ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ของประเทศอิตาลี แคว้นนี้มีเกาะเล็กเกาะน้อยภายในอาณาบริเวณอยู่ราวหนึ่งร้อยกว่าเกาะ โดยเมืองเวนิสนั้นเป็นเมืองเอกของแคว้นเวเนโตและยังเป็นเมืองที่คนทั่วโลกขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งสายน้ำและความโรแมนติก” เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะที่มีกระแสน้ำทะเลไหลเซาะเข้าไปในฝั่งจนเกิดเป็นคลองสีเขียวอมฟ้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่มีชื่อว่า “คลองแกรนด์คาแนล (Grand Canal)” ซึ่งเป็นคลองสายหลักที่ใช้สัญจรไปมาโดยเรือหลากหลายประเภทอย่างเช่น “Water-bus” ซึ่งเป็นเรือขนส่งสาธารณะหลักของเมือง และ “เรือกอนโดล่า (Gondola)” ซึ่งเป็นเรือท้องถิ่นประจำเมืองเวนิส ประกอบกับทิวทัศน์บริเวณสองฝั่งคลองที่เรียงรายด้วยอาคารและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่หลายแห่ง เกิดเป็นทัศนียภาพอันสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวิถีชีวิตแห่งเวนิสที่สร้างความประทับใจให้กับเหล่านักท่องเที่ยวที่มาเยือน

           ในด้านสภาพอากาศ เมืองเวนิสมีสองฤดูหลักๆ ได้แก่ ฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยฤดูร้อนจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน โดยเดือนที่มีสภาพอากาศร้อนที่สุดคือช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม สำหรับฤดูหนาวจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน และเดือนที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นที่สุดคือช่วงเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม นอกจากนี้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมยังมีฝนตกและอาจมีน้ำทะเลหนุนท่วมพื้นที่บริเวณชายฝั่ง ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ได้รับความนิยมในการท่องเที่ยวมากที่สุดจะเป็นช่วงฤดูร้อนในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม และอีกหนึ่งช่่วงเวลาที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชอบความคึกครื้นและความสนุกสนานคือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคมที่เป็นช่วงจัดงาน “เทศกาลเวนิสคาร์นิวัล (Venice Carnival)”

           นักท่องเที่ยวที่สนใจไปเที่ยวชมเมืองเวนิส สามารถนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเวนิส มาร์โคโปโล (Venice Marco Polo Airport) และต่อรถ Aerobus เข้าไปยังเมืองเวนิส หรือสามารถนั่งรถไฟระหว่างเมืองจากประเทศในแถบยุโรปไปลงยังสถานีรถไฟเวเนเซียซานตาลูเซีย (Stazione di Venezia Santa Lucia) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองเวนิสได้อีกด้วย


แผนที่ 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองเวนิส


แผนที่เส้นทาง Water-bus (ขอขอบคุณภาพจาก https://www.veneziaunica.it/)


1. Piazza San Marco & San Marco Campanile (จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โคและหอระฆังซานมาร์โค)

 

           จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โคเป็นศูนย์กลางของเมืองเวนิส โดดเด่นด้วยหอระฆังซานมาร์โคที่ตั้งตระหง่านด้วยความสูง 99 เมตร จัตุรัสนี้เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กประจำเมืองเวนิสที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพราะนอกจากแวดล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอื่นๆ อย่างเช่นมหาวิหารซานมาร์โค หอนาฬิกา และพิพิธภัณฑ์ จัตุรัสนี้ยังเป็นสถานที่หลักที่ใช้จัดงานเทศกาลเวนิสคาร์นิวัลที่จัดขึ้นประจำในทุกๆ ปีอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งเมืองเวนิสที่มีทัศนยีภาพอันสวยงามของเมืองริมฝั่งทะเล และมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเยือนตลอดทั้งปี

ค่าเข้าชม : บริเวณจัตุรัสไม่เสียค่าเข้าชม ค่าเข้าชมหอระฆัง :  ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 8 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6 - 18 ปี ราคา 4 Euro

เวลาเปิด-ปิด : บริเวณจัตุรัสเปิดตลอดเวลา

                      หอระฆังมีเวลาทำการดังนี้

                       - วันที่ 1 ตุลาคม - 31 มีนาคม เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น.

                       - วันที่ 7-24 มกราคม ปิดเพื่อทำการบูรณะซ่อมแซม

                       - วันที่ 1-15 เมษายน เปิดเวลา 9:30 น. - 17:30 น.

                       - วันที่ 16 เมษายน - 30 กันยายน เปิดเวลา 8:30 น. - 21:00 น.

ข้อมูลการเดินทาง : สามารถลงที่ท่าเรือ Rialto และเดินต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงยัง Piazza San Marco & San Marco Campanile ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 7 นาที นอกจากนี้ยังสามารถลงที่ท่าเรือ San Marco-San Zaccaria หรือ San Marco Vallaresso ก็จะถึงยัง Piazza San Marco & San Marco Campanile ได้เช่นกัน

พิกัด GPS : 45°26'02.6"N 12°20'20.6"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โคและหอระฆังซานมาร์โค ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=920


2. Basilica di San Marco & Museo di San Marco (มหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค)

 

           มหาวิหารซานมาร์โคเป็นมหาวิหารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานร่างของนักบุญซานมาร์โค หรือ นักบุญมาร์ค อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ที่แต่เดิมร่างถูกฝังอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรียของประเทศอียิปต์ในช่วงศตวรรษที่ 1 และได้รับการขนย้ายร่างกลับมายังเมืองเวนิสในช่วงศตวรรษที่ 6 โดยสองพ่อค้าชาวเวเนเชียน มหาวิหารนี้จึงเป็นดั่งศูนย์รวมใจของคริสตศาสนิกชน และเป็นแลนด์มาร์กที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานที่สวยงาม โดดเด่นด้วยรูปปั้นสิงโตทองมีปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักบุญมาร์คและยังเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส และยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาและจัดแสดงสิ่งของโบราณทางศาสนาอีกด้วย ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองเวนิสที่ควรค่าต่อการมาเที่ยวชม  

ค่าเข้าชม : ภายในมหาวิหารไม่เสียค่าเข้าชม

                       ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 5 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 2.50 Euro

                       ค่าเข้าชมส่วน Pala d’oro : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 2 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1 Euro

                       ค่าเข้าชมส่วน Treasury : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 3 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1.5 Euro

เวลาเปิด-ปิด : วันที่ 29 ตุลาคม - 15 เมษายน

                          โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                          พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น.

                          ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                          ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                    วันที่ 16 เมษายน - 28 ตุลาคม

                          โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

                          พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น.

                          ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

                          ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile สามารถเดินมายัง Basilica di San Marco & Museo di San Marco ได้ในระยะทางประมาณ 20 เมตร ใช้เวลาประมาณ 1 นาที

พิกัด GPS : 45°26'04.4"N 12°20'23.0"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ มหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=910


3. Palazzo Ducale (พระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล)

 

           พระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล เป็นพระราชวังเก่าที่มีอายุประมาณหนึ่งพันปี แต่เดิมใช้เป็นที่ประทับของผู้ปกครองเมืองเวนิส และยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการต่างๆ ในยุคนั้นอีกด้วย พระราชวังแห่งนี้ผ่านการปรับโครงสร้างและสร้างใหม่อยู่หลายครั้งตามแต่ละยุคสมัยของผู้ปกครองเมือง จึงทำให้ตัวอาคารและการตกแต่งภายในมีสถาปัตยกรรมผสมผสานอันหลากหลาย กลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กประจำเมืองเวนิสที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งทะเล และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาตร์ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิสอีกด้วย

ค่าเข้าชม : ตั๋วผู้ใหญ่ ราคา 25 Euro

                 เด็กอายุ 6-14 ปี / นักเรียนนักศึกษาอายุ 15-25 ปี / ผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป ราคา 13 Euro

                 ชาวเวนิส / เด็กอายุไม่เกิน 5 ปี / ผู้พิการ เข้าชมฟรี

เวลาเปิด-ปิด : วันที่ 1 เมษายน ถึง วันที่ 31 ตุลาคม

                          วันอาทิตย์ - วันพฤหัสบดี เปิดเวลา 8:30 น. - 21:00 น.

                          วันศุกร์ - วันเสาร์ เปิดเวลา 8:30 น. - 23:00 น.

                    วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 31 มีนาคม

                          เปิดทุกวัน เวลา 8:30 น. - 19:00 น

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile สามารถเดินมายัง Palazzo Ducale ได้ในระยะทางประมาณ 120 เมตร ใช้เวลาประมาณ 2 นาที

พิกัด GPS : 45°26'01.5"N 12°20'25.4"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ พระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=912


4. Bridge of Sighs (สะพานบริดจ์ออฟไซส์)

 

           สะพานบริดจ์ออฟไซส์เป็นสะพานหินโค้งเก่าแก่ที่มีลักษณะปิดทึบรอบด้าน ทอดข้ามคลองข้ามคลองริโอดิปาลัซโซ๋เชื่อมระหว่างอาคารพระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล่ (Palazzo Ducale) กับอาคารเรือนจำที่อยู่อีกฟากของฝั่งคลอง ชื่อของสะพานหมายถึง สะพานแห่งเสียงถอนหายใจ สะท้อนถึงเสียงถอนใจของบรรดานักโทษที่ผ่านการพิพากษา และส่งตัวผ่านทางสะพานบริดจ์ออฟไซส์เพื่อไปคุมขังยังเรือนจำอีกฝั่ง ซึ่งนักโทษจะมองเห็นอิสรภาพของโลกภายนอกครั้งสุดท้ายได้จากช่องหน้าต่างเล็กๆ บนสะพานแห่งนี้ ซึ่งนำมาสู่ความเศร้าโศกและเสียงถอนใจเมื่อต้องข้ามไป ปัจจุบันนี้สะพานบริดจ์ออฟไซส์และคุกไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป แต่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิส โดยนักท่องเที่ยวนิยมสามารถเดินเที่ยวชมสะพานนี้ได้บริเวณทางเดินเลียบคลองและสะพานข้ามคลองด้านข้างพระราชวัง หรือจะนั่งเรือกอนโดล่าเที่ยวชมเพื่อให้ได้บรรยากาศแห่งเมืองเวนิสก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกัน

ค่าเข้าชม : บริเวณด้านนอกไม่เสียค่าเข้าชม

เวลาเปิด-ปิด : บริเวณด้านนอกเปิดตลอดเวลา

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile สามารถเดินมายัง Bridge of Sighs ได้ในระยะทางประมาณ 140 เมตร ใช้เวลาประมาณ 3 นาที

พิกัด GPS : 45°26'02.6"N 12°20'27.1"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ สะพานบริดจ์ออฟไซส์ ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=905


5. Ponte di Rialto (สะพานริอัลโต)

 

           สะพานริอัลโตเป็นสะพานหินซุ้มโค้งเก่าแก่ทอดข้ามคลองแกรนด์คาแนล และเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของคลองแกรนด์คาแนล ตั้งอยู่บริเวณย่านการค้าอันพลุกพล่านของเมืองเวนิส ซึ่งก่อนจะเป็นสะพานหินในปัจจุบันนั้น แต่เดิมสะพานริอัลโตเคยเป็นสะพานแบบทุ่นลอยน้ำ และสะพานไม้มาก่อน แต่ด้วยการค้าบริเวณนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว สะพานจึงได้รับการสร้างใหม่อย่างมั่นคงแข็งแรงเพื่อรองรับการสัญจรไปมาจำนวนมากของผู้คน นอกจากนี้ บริเวณด้านบนสะพานยังเป็นจุดชมวิวคลองแกรนด์คาแนลอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเทุี่ยวอีกด้วย

ค่าเข้าชม : เปิดตลอดเวลา

เวลาเปิด-ปิด : ไม่เสียค่าเข้าชม

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile สามารถเดินมายัง Ponte di Rialto ได้ในระยะทางประมาณ 525 เมตร ใช้เวลาประมาณ 7 นาที

พิกัด GPS : 45°26'16.8"N 12°20'09.2"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ สะพานริอัลโต ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=903


6. Grand Canal (คลองแกรนด์คาแนล)

 

           คลองแกรนด์คาแนลเป็นคลองใหญ่สายหลักของเมืองเวนิสที่มีเรือโดยสารและเรือกอนโดล่าสัญจรไปมา ลำคลองมีความยาวประมาณ 4 เมตร บริเวณสองฝั่งคลองเรียงรายด้วยอาคารบ้านเรือนที่ส่วนหนึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13-18 สะท้อนสภาพวิถีชีวิตของเมืองแห่งสายน้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นภาพแห่งเมืองเวนิสที่คนทั่วโลกนึกถึง คลองแกรนด์คาแนลจึงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองเวนิส

ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเชม

เวลาเปิด-ปิด : เปิดตลอดเวลา

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile สามารถเดินมายังช่วงกลางของ Grand Canal ได้ในระยะทางประมาณ 862 เมตร ใช้เวลาประมาณ 12 นาที หรือสามารถเดินไปบริเวณปากคลองได้ที่ริมฝั่งใกล้กับจัตุรัสเปียซซ๋าซานมาร์โค

พิกัด GPS : 45°26'06.5"N 12°19'41.5"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ คลองแกรนด์คาแนล ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=913


7. Basilica di Santa Maria della Salute (มหาวิหารซานตามารียา เดลล่า ซาลูเต)

 

           มหาวิหารซานตามารียา เดลล่า ซาลูเต ตั้งอยู่บริเวณริมคลองแกรนด์คาแนล เป็นอีกหนึ่งมหาวิหารเก่าแก่ในเมืองเวนิสที่เป็นศูนย์รวมใจและพลังแห่งศรัทธาของชาวเวนิสเนื่องจากเป็นมหาวิหารที่ทางการสร้างขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระแม่มารีที่ช่วยพิทักษ์รักษาเมืองเวนิสให้รอดพ้นจากโรคระบาดในช่วงศตวรรษที่ 16 ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมบาโรก โดดเด่นด้วยหลังคาโดมขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นพระแม่มารีประดิษฐานอยู่ด้านบน เป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิสที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว

ค่าเข้าชม : ด้านในโบสถ์ไม่เสียค่าเข้าชม

เวลาเปิด-ปิด : วันจันทร์ - วันอาทิตย์ เวลา 9.30 น. -12.00 น. และ 15.00 น. - 17.30 น.

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile ขึ้น Water-bus ที่ท่าเรือ San Marco-San Zaccaria"C" ไปลงยังท่าเรือ Salute ก็จะถึงยัง Basilica di Santa Maria della Salute ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 8 นาที

พิกัด GPS : 45°25'50.4"N 12°20'05.1"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ มหาวิหารซานตามารียา เดลล่า ซาลูเต ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=906


8. San Giorgio Maggiore (เกาะซานจิออร์จิโอแม็กจิออเร่)

 

           เกาะซานจิออร์จิโอแม็กจิออเร่ เป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับจัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โค บนเกาะเป็นที่ตั้งของโบสถ์ซานจิออร์จิโอแม็กจิออเร่ หอระฆัง และอารามเก่าแก่ เป็นเกาะแห่งคริสตศาสนา และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิส โดยเฉพาะการขึ้นไปชมทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองและท้องทะเลแห่งเวนิสที่ความสูง 63 เมตรจากด้านบนหอระฆัง

ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม แต่มีค่าขึ้นหอระฆัง

                   ค่าขึ้นหอระฆัง (ผู้ใหญ่ ราคา 6 Euro / นักเรียนและนักศึกษาอายุไม่เกิน 26 ปี และผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป ราคา 4 Euro)

เวลาเปิด-ปิด : เดือนเมษายน ถึง เดือนตุลาคม เปิด 9:00 น. - 19:00 น. / เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมีนาคม เปิด 8:30 น. - 18:00 น.

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile ขึ้น Water-bus ที่ท่าเรือSan Marco-San Zaccaria และต่อ Water-bus ไปลงที่ท่าเรือ S. Giorgio ก็จะถึงยัง San Giorgio Maggiore ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 4 นาที

พิกัด GPS : 45°25'43.9"N 12°20'37.7"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ เกาะซันจิออร์จิโอแม็กจิออเร่ ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=915


9. Murano (เกาะมูราโน่)

 

           เกาะมูราโน่ เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว บนเกาะมีอาคารบ้านเรือนพื้นเมือง และสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของโบสถ์ หอนาฬิกา และพระราชวังเก่าให้เที่ยวชม เกาะแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงด้านการผลิตเครื่องแก้วเป็นศิลปาชีพท้องถิ่น ซึ่งใช้ฝีมือและเทคนิคในการขึ้นรูปอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนมีชื่อเสียงระดับโลกและสามารถสร้างรายได้ให้ชาวบ้านบนเกาะได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีบริการทัวร์ชมโรงงานผลิตเครื่องแก้ว พิพิธภัณฑ์ และร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชมอีกด้วย

ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม

เวลาเปิด-ปิด : เปิดตลอดเวลา

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile ขึ้น Water-bus สาย B ที่ท่าเรือ San Marco-San Zaccaria ไปลงยังท่าเรือ Murano Colonna ก็จะถึงยัง Murano ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 40 นาที

พิกัด GPS : 45°27'32.4"N 12°21'08.4"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ เกาะมูราโน่ ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=919


10. Burano (เกาะบูราโน่)

 

           เกาะบูราโน่เป็นเกาะของหมู่บ้านชาวประมง โดดเด่นด้วยอาคารบ้านเรือนสีสันสดใสเรียงรายอยู่บนเกาะ และแลนด์มาร์กของหอระฆังที่เรียกว่าหอเอียงแห่งบูราโน่ (Burano's Leaning Bell Tower) ซึ่งเอียงจากการทรุดตัวของพื้นดินด้านล่าง เกาะนี้ขึ้นชื่อเรื่องความสดของอาหารทะเล และมีชื่อเสียงด้านงานหัตถศิลป์ในการถักทอผ้าลูกไม้ ซึ่งจัดเป็นศิลปาชีพท้องถิ่นของเกาะที่มีชื่อเสียงระดับโลก และสร้างรายได้อีกทางหนึ่งให้กับชาวบ้าน เกาะบูราโน่จึงเป็นหนึ่งในหมู่เกาะของเวนิสที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเกาะที่มีอาหารทะเลสด มีทัศนียภาพอันสวยงามของหมู่บ้านหลากสีสันตัดกับสีของท้องทะเล และยังมีผ้าลูกไม้งานดีให้ซื้อติดมือกลับมาเป็นที่ระลึกอีกด้วย

ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม

เวลาเปิด-ปิด : เปิดตลอดเวลา

ข้อมูลการเดินทาง : จาก Piazza San Marco & San Marco Campanile ขึ้น Water-bus สาย 12 ที่ท่าเรือ F.te Nove "A" ไปลงยังท่าเรือ Burano "B" ก็จะถึงยัง Burano ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที

พิกัด GPS : 45°29'07.4"N 12°24'59.9"E

อ่านรายละเอียดเพื่มเติมเกี่ยวกับ เกาะบูราโน่ ได้ที่https://www.palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=914

                         

ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้ : 

- เว็บไซต์พยากรณ์อากาศ
   
https://www.accuweather.com

- เว็บไซต์ทางการของเมืองเวนิส 
   https://www.veneziaunica.it/en

- สกุลเงินที่ใช้ : ยูโร (EUR)


แอปพลิเคชัน "บริการรถแท็กซี่" ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

- APPTAXI สามารถดาวน์โหลดได้ที่ App Store (iOS) และ Play Store (Android)

หมายเหตุ รถแท็กซี่ส่วนใหญ่จะให้บริการในพื้นที่สนามบิน หรือบริเวณจัตุรัสเปียซซาเล่โรม่า (Piazzale Roma) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ติดกับถนนใหญ่ที่ใช้เข้าออกเมืองเวนิส สำหรับในตัวเมืองเวนิสที่สภาพภูมิประเทศเป็นเกาะ จะมีเรือ Water-taxi ท้องถิ่นให้บริการ


แอปพลิเคชัน "แผนที่ในการนำทาง" ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

- Google Map สามารถดาวน์โหลดได้ที่ App Store (iOS) และ Play Store (Android)
 

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

รวมที่เที่ยว 4 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โอเลซุนด์ ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่งดงามราวกับภาพวาด การเดินทางจากออสโล (Oslo) เมืองหลวงของประเทศ สู่เบอร์เกน (Bergen) ฟลอม (Flam) และเอลซุนด์ ( Alesund) เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เส้นทางสายนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับบ้านเมืองน่ารักๆ ทัศนียภาพที่สวยงามตระการตาของเทือกเขาสูงชัน น้ำตกที่ไหลเชี่ยว ฟยอร์ดที่ทอดยาว และหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์

อ่านต่อ

รวมที่เที่ยว 3 เมืองเด่น จาก ออสโล ถึง โลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

นอร์เวย์ (Norway) ดินแดนแห่งฟยอร์ดและขุนเขาที่แสนสวยงาม เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวมากมายที่พร้อมจะมอบความทรงจำสุดประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน การเดินทางจากออสโล (Oslo) สู่ทรุมเซอ (Tromso) และโลโฟเทน (Lofoten) นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางผ่านภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เมืองหลวงที่ทันสมัย ไปจนถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของอาร์กติก และหมู่เกาะที่สวยงามราวภาพวาด

อ่านต่อ

หมู่บ้านซอมมารอย เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซอมมารอย (Sommarøy) เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ทางตะวันตกของเมืองทรุมเซอ (Tromsø) ประเทศนอร์เวย์ อยู่ห่างจากเมืองทรุมเซอไปทางตะวันตกประมาณ 58 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีหาดทรายขาวและทิวทัศน์สวยงาม

อ่านต่อ

มหาวิหารอาร์กติก เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารอาร์กติก (Arctic Cathedral) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดของเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และความหมายอันลึกซึ้ง ทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนทรุมเซอ

อ่านต่อ

มหาวิหารทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

มหาวิหารทรุมเซอ (Tromso Cathedral) หรือที่รู้จักในชื่อ "Tromsdalen Church" เป็นโบสถ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่ และการออกแบบตกแต่งภายในอันงดงาม

อ่านต่อ

ท่าเรือทรุมเซอ เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

ท่าเรือทรุมเซอ (Port of Tromsø) ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ ท่าเรือแห่งนี้เป็นมากกว่าแค่จุดขึ้นลงเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของเมืองทรุมเซอ และเป็นประตูสู่ดินแดนอาร์กติกที่น่าตื่นตาตื่นใจ

อ่านต่อ

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

กระเช้าไฟฟ้าเฟียลไฮเซน (Fjellheisen Cable Car) เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์ การนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนยอดเขาสโตรสไตเนิน (Storsteinen Mountain) จะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับวิวเมืองทรุมเซอและฟยอร์ดอันงดงามแบบ 360 องศา

อ่านต่อ

หมู่บ้านแฮมนอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านแฮมนอย (Hamnoy) ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) มีลักษณะโดดเด่นคือ “โรบูเอ้” สีแดง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่บนโขดหิน และมีฉากหลังเป็นภูเขา เป็นภาพที่ปรากฏอยู่บนโปสการ์ด ของที่ระลึก และสื่อประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวต่างๆ

อ่านต่อ

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านนูส์ฟยอร์ด (Nusfjord) คือหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านใต้ของเกาะ Flakstadøya ในอ่าวเวสฟยอร์เดน (Vestfjord) เขตเทศบาล Flakstad ของเมือง Lofoten ประเทศนอร์เวย์ หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในนอร์เวย์ และอาจจะเป็นหนึ่งในหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในโลกก็เป็นได้

อ่านต่อ

หมู่บ้านซาคริซอย หมู่เกาะโลโฟเทน ประเทศนอร์เวย์

หมู่บ้านซาคริซอย (Sakrisoy) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาโอลสตินด์ (Olstind) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของหมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) และอีกหนึ่งลักษณะที่โดดเด่นคือหมู่บ้านนี้คือ “โรบูเอ้” สีเหลือง (Rorbuer) กระท่อมสำหรับพักชั่วคราวของชาวประมงที่เรียงรายอยู่ตามริมฝั่งฟยอร์ด

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ