มหาวิหารซานมาร์โค และ พิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

  • อ่าน (5,089)
  • By Webmaster
  • 12:50:07 | 29 เม.ย. 2563

 มหาวิหารซานมาร์โค และ พิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

Basilica di San Marco & Museo di San Marco, Venice, Italy 


มหาวิหารซานมาร์โคตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โค

           มหาวิหารซานมาร์โค หรือ มหาวิหารเซนต์มาร์ค (Basilica di San Marco / St. Mark's Basilica) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของจัตุรัสเปียซซาซานมาร์โค หรือ จตุรัสเซนต์มาร์ค (Piazza San Marco / St. Mark's Square) มหาวิหารแห่งนี้เป็นมหาวิหารประจำเมืองเวนิส ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานร่างของนักบุญซานมาร์โค หรือ นักบุญมาร์ค อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ที่นี่จึงเป็นมหาวิหารเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี เป็นศูนย์รวมใจของคริสตศาสนิกชน และเป็นแลนด์มาร์กที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานที่สวยงามล้ำค่า โดดเด่นด้วยรูปปั้นนักบุญมาร์คที่ด้านบนจั่วและสัญลักษณ์สิงโตทองมีปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส นอกจากนี้ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค หรือ พิพิธภัณฑ์เซนต์มาร์ค (Museo di San Marco / St. Mark’s Museum) ที่เก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุ และศิลปะเชิงประวัติศาสตร์มากมายที่หาดูได้ยาก ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิสที่คุ้มค่าต่อการมาเที่ยวชม


แผนที่ตั้งมหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco & Museo di San Marco) เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

ประวัติ

           มหาวิหารซานมาร์โค หรือ มหาวิหารเซนต์มาร์ค สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญมาร์โค หรือ นักบุญมาร์ค (San Marco Evangelista / St. Mark the Evangelist) หนึ่งในสิบสองอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เป็นอัครทูตเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยังเมืองต่างๆ ในดินแดนยุโรปและตะวันออกกลางในช่วงต้นคริสตกาล และยังเป็นผู้ประพันธ์เนื้อหาส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์อีกด้วย ในตอนที่ท่านเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยังตะวันออกกลาง การเผยแพร่ศาสนาในระยะแรกเป็นไปได้ด้วยดี ท่านได้ก่อตั้งโบสถ์ขึ้นในเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในประเทศอียิปต์ (Egypt) และดำรงตำแหน่งบิชอปคนแรก แต่แล้วในช่วงปีค.ศ. 68 เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามขึ้น ท่านนักบุญถูกจับกุมตัวและประหารชีวิต ร่างของท่านถูกฝังไว้ยังสุสานที่โบสถ์แห่งนั้นนับแต่นั้นมา

           เวลาผ่านไปหลายร้อยปี จนกระทั่งในปีค.ศ. 828 นายบูโอโน ชาวเกาะมาลาม็อคโค (Buono da Malamocco) และนายรัสทิโค จากเขตทอร์เซลโล่ (Rustico da Torcello) สองพ่อค้าชาวเวเนเชียนได้เดินทางไปทำธุระยังเมือง อเล็กซานเดรีย และได้แวะสักการะร่างของนักบุญมาร์คที่โบสถ์ในเมืองนั้น และได้รู้ข่าวร้ายว่าอีกไม่นานโบสถ์แห่งนี้กำลังจะถูกทางการอาหรับยึดครองและทุบทำลายเพื่อสร้างเป็นมัสยิด และยังมีแผนที่จะนำเอาหินอ่อนและเสาของโบสถ์คริสต์นี้ไปสร้างพระราชวังในเมืองบาบิลอนอีกด้วย พวกเขาจึงตัดสินใจวางแผนขนย้ายร่างของนักบุญมาร์คออกมาจากโบสถ์เพื่อกลับไปยังเมืองเวนิส โดยสลับเอาศพอื่นไปใส่ไว้แทน แล้วย้ายเอาร่างของนักบุญมาร์คไปใส่ไว้ในตะกร้าคลุมด้วยกองกะหล่ำปลีกับเนื้อหมู ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของศาสนาอิสลาม พวกเขาจึงผ่านด่านตรวจที่ท่าเรือมาได้อย่างง่ายดายเพราะชาวมุสลิมมักหลีกเลี่ยงเนื้อหมู ด้วยแผนการนี้พวกเขาจึงนำตะกร้าที่ซ่อนร่างนักบุญมาร์คขึ้นเรือกลับมายังเมืองเวนิสได้สำเร็จในที่สุด พวกเขานำร่างนักบุญมาร์คมาส่งยังเมืองเวนิสโดยสวัสดิภาพในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 828 โดย Doge Giustiniano Particiaco เจ้าเมืองเวนิสในตอนนั้นทรงรับร่างของนักบุญมาร์คไว้ และนำไปประดิษฐานไว้ชั่วคราวที่พระราชวัง Ducale Palace ในระหว่างรอการก่อสร้างมหาวิหารซานมาร์โค 

           การก่อสร้างมหาวิหารได้เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1063 ในช่วงของราชวงศ์ Doge Domenico Contarini มหาวิหารนี้สร้างในรูปแบบผสมผสานของสถาปัตยกรรมอิตาเลียนโกธิก (Italian Gothic architecture) สถาปัตยกรรมไบเซนไทน์ (Byzantine architecture) และสถาปัตยกรรมเวเนเชียนโกธิก (Venetian Gothic architecture) และยังมีการตกแต่งภายในด้วยกระจกโมเสก ด้านบนเป็นหลังคาโดมจำนวนห้าโดม นอกจากนี้ที่บนยอดจั่วของหลังคาด้านหน้าของมหาวิหารแห่งนี้ยังตกแต่งด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์คที่ประทับอยู่บนยอดอย่างโดดเด่น และข้างใต้รูปปั้นนักบุญมาร์คจะเป็นรูปปั้นสิงโตทองที่ชื่อว่า “The Lion of Saint Mark” ซึ่งเป็นรูปปั้นสิงโตมีปีกถือดาบด้วยอุ้งเท้าและถือพระคัมภีร์ที่จารึกข้อความว่า “Pax Tibi Marce Evangelista Meus” (หมายถึง Peace to You Oh Mark My Evangelist) ซึ่งเป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญมาร์ค และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส ซึ่งสิงโตศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายในเชิงพลังอำนาจ เกียรติ และความกล้าหาญ (ซึ่งเราจะพบสัญลักษณ์สิงโตศักดิ์สิทธิ์นี้ตามสถานที่สำคัญต่างๆ รวมถึงโลโก้บริษัทบางแห่งของประเทศอิตาลี) มหาวิหารสร้างแล้วเสร็จในปีค.ศ. 1094 และร่างของนักบุญมาร์คก็ได้รับการประดิษฐานไว้ในสุสานหินอ่อนด้านล่างแท่นบูชา และมีการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงนักบุญมาร์คในวันที่ 25 เมษายนของทุกปี มหาวิหารซานมาร์โคเป็นมหาวิหารหลวงมาหลายร้อยปี จนกระทั่งได้รับการสถาปนาให้เป็นมหาวิหารประจำเมืองเวนิสนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1807 เป็นต้นมา นอกจากนี้ มหาวิหารนี้ยังมีชื่อเล่นว่า Chiesa d'Oro มีความหมายว่า Church of Gold หรือ โบสถ์ทองคำ อีกด้วย

           ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค หรือ พิพิธภัณฑ์เซนต์มาร์ค สร้างขึ้นในช่วงปลายของศตวรรษที่ 19 เป็นสถานที่เก็บรักษาและจัดแสดงศิลปะเชิงประวัติศาสตร์หลากหลายประเภท โดยผลงานที่มีชื่อเสียงที่จัดแสดงที่นี่ก็อย่างเช่น รูปปั้นควอดริกา (Quadriga) และชิ้นส่วนของแท่นบูชาที่ชื่อว่า Weekday Altar-Piece ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงกลางของศควรรษที่ 14 ศิลปะที่ใช้ตกแต่งแท่นบูชาเป็นฝีมือของ Paolo Veneziano เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของมหาวิหาร และยังมีส่วนจัดแสดงพรมของชาวเปอร์เซียน (Persian carpets) โบราณวัตถุทางศาสนา เศษกระจกโมเสกโบราณ และภาพเขียนที่ถ่ายทอดเรื่องราวของมหาวิหารและทางศาสนา  นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงที่ชื่อว่า Pala d’oro ที่จัดแสดงแท่นบูชาอันเก่าแก่ และคลังสมบัติ ที่เก็บรักษาและจัดแสดงสมบัติล้ำค่าโบราณมากมาย ด้วยเหตุนี้ มหาวิหารซานมาร์โคจึงเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองเวนิสที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากตลอดทั้งปี


มหาวิหารนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมอิตาเลียนโกธิก สถาปัตยกรรมไบเซนไทน์ และสถาปัตยกรรมเวเนเชียนโกธิก มีลักษณะของเสาหินและซุ้มโค้ง 


ด้านบนประตูแต่ละบานตกแต่งด้วยภาพเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนาคริสต์ 


ระเบียงด้านบนประดับด้วยรูปปั้นม้าทองสัมฤทธิ์สองคู่รวมสี่ตัวเรียกว่า Triumphal Quadriga เหนือขึ้นไปเป็นสัญลักษณ์สิงโตทองเซนต์มาร์ค 


ภาพเขียนเก่าแก่ด้านบนซุ้มประตูถ่ายทอดความเป็นมาของมหาวิหาร 


ภาพเขียนเก่าแก่ด้านบนซุ้มประตูถ่ายทอดความเป็นมาของมหาวิหาร


ทัศนีภาพจากด้านบนระเบียงของหมาวิหารซานมาร์โค บริเวณด้านหลังรูปปั้นม้า สามารถมองเห็นจัตุรัสซานมาร์โคได้ทั่วทั้งบริเวณ 


Triumphal Quadriga รูปปั้นม้าทองสัมฤทธิ์ทั้งสี่ 


จากมุมนี้ สามารถมองเห็นหอนาฬิกาเซนต์มาร์คที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของมหาวิหารได้อย่างชัดเจน

 
หอนาฬิกาเซนต์มาร์คประดับด้วยรูปปั้นสิงโตสิงโตเซนต์มาร์คสัญลักษณ์แห่งเวนิส (รูปซ้าย) นาฬิกามีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ของสิบสองราศี กลุ่มดาว และเลขโรมันยี่สิบสี่ตัว (รูปขวา)


ทัศนียภาพฝั่งอาคารด้านเหนือของจัตุรัสเมื่อมองจากระเบียงของมหาวิหาร 


ทัศนียภาพทางฝั่งทิศใต้จะมองเห็นจัตุรัสซานมาร์โคที่ติดริมฝั่งทะเล และพระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเลทางด้านซ้ายของภาพ และอาคารหอสมุดที่อยู่ตรงกันข้ามพระราชวัง


หอระฆังซานมาร์โคเมื่อมองจากด้านข้างอาคารมหาวิหาร

การเดินทางจากสนามบินเวนิสมาร์โคโปโล (Venice Marco Polo Airport / Aeroporto di Venezia-Marco Polo) ไปยังสถานีรถไฟเวเนเซียซานตาลูเซีย (Stazione di Venezia Santa Lucia)

             - รถยนต์ (Car) จาก Venice Marco Polo Airport ไปยัง Stazione di Venezia Santa Lucia มีระยะทางประมาณ 13.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที

             - รถประจำทาง (Bus) จาก Venice Marco Polo Airport ให้เดินมายังท่ารถ Aeroporto Marco Polo เพื่อขึ้นรถบัสสาย Venezia P. Roma (ออกทุก 20 นาที) มุ่งหน้าไปยังเมือง Venice โดยเมื่อไปถึงเมืองเวนิส รถบัสจะจอดให้ลงบริเวณท่ารถ Venezia Piazzale Roma ATVO ที่จัตุรัสโรมา (Piazzale Roma) จากนั้นเดินต่อไปประมาณ 450 เมตร ก็จะถึงยัง Stazione di Venezia Santa Lucia มีระยะทางโดยรวมประมาณ 13.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที

หมายเหตุ : Stazione di Venezia Santa Lucia เป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองเวนิสที่มีเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ ในประเทศอิตาลี รวมถึงเมืองต่างๆ ในประเทศแถบยุโรป แต่ขนส่งสาธารณะหลักภายในเมืองเวนิส จะใช้การเดินทางทางน้ำโดย “เรือประจำทาง” ที่เรียกว่า “Water-bus” ซึ่งมีท่าเรือครอบคลุมทั่วเมือง โดยท่าเรือบริเวณด้านหน้า Stazione di Venezia Santa Lucia มีจำนวน 4 ท่าแยกตามเส้นทางเดินเรือ ได้แก่ Ferrovia “A”, Ferrovia “B”, Ferrovia “C” และ Ferrovia “D”

การเดินทางจากสถานีรถไฟเวเนเซียซานตาลูเซีย (Stazione di Venezia Santa Lucia) ไปยังมหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco & Museo di San Marco)

 

             - เรือ (Ferry) จาก Stazione di Venezia Santa Lucia เดินไปยังท่าเรือ Ferrovia D เพื่อขึ้น Water-bus สาย 1 จากนั้นลงที่ท่าเรือ San Marco-Zaccaria และเดินต่อไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงยัง Basilica di San Marco & Museo di San Marco ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 43 นาที

เวลาเปิด-ปิด

             วันที่ 29 ตุลาคม - 15 เมษายน

                     โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                     พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น.

                     ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                     ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)


             วันที่ 16 เมษายน - 28 ตุลาคม

                     โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

                     พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น.

                     ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

                     ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)


นกท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณจัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โคซึ่งเป็นบริเวณที่มีฝูงนกจำนวนมาก
 

อัตราค่าเข้าชม

           ภายในโบสถ์ไม่เสียค่าเข้าชม

           ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 5 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 2.50 Euro

           ค่าเข้าชมส่วน Pala d’oro : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 2 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1 Euro

           ค่าเข้าชมส่วน Treasury : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 3 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1.5 Euro


ความสวยงามของมหาวิหารและหอนาฬิกาในช่วงเช้ามืด

เวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว

           ตลอดทั้งปี

 

             นักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยว Basilica di San Marco และ Museo di San Marco สามารถศึกษา ข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่

                          มหาวิหารซานมาร์โคและพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

                          (Basilica di San Marco & Museo di San Marco, Venice, Italy)

                          ระดับความนิยม : 

                          อัตราค่าเข้าชม : ภายในโบสถ์ไม่เสียค่าเข้าชม

                                                 ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 5 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 2.50 Euro

                                                 ค่าเข้าชมส่วน Pala d’oro : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 2 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1 Euro

                                                 ค่าเข้าชมส่วน Treasury : ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 3 Euro / ตั๋วเด็กอายุ 6-18 ปี ราคา 1.5 Euro

                          เวลาเปิด-ปิด : วันที่ 29 ตุลาคม - 15 เมษายน

                                                โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                                                พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น.

                                                ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                                                ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 16:45 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 16:30 น.)

                                            วันที่ 16 เมษายน - 28 ตุลาคม

                                                โบสถ์ : เปิดเวลา 9:30 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

                                                พิพิธภัณฑ์ : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น.

                                                ส่วน Pala d’oro : เปิดเวลา 9:35 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

                                                ส่วน Treasury : เปิดเวลา 9:45 น. - 17:00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดเปิดเวลา 14:00 น. - 17:00 น.)

                          ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว : ตลอดทั้งปี

                          สถานที่ตั้ง : เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

                          โทรศัพท์ : (+39) 041 2708311

                          เว็บไซต์ : http://www.basilicasanmarco.it/    

                          ข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้ : พยากรณ์อากาศ https://www.accuweather.com/th/it/italy-weather

                                      เว็บไซต์ทางการของเมืองเวนิส https://www.veneziaunica.it/en

                                      เว็บไซต์ทางการของประเทศอิตาลี http://www.italia.it/en/home.html   

                                      เว็บไซต์การท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี https://www.italyguides.it/en

 

สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ

ล่องบอลลูนชม 2 ดินแดนมรดกโลก…พุกาม & คัปปาโดเชีย

หากเอ่ยถึง “พุกาม” (Bagan) เชื่อว่าคงจะนึกถึงสิ่งอื่นใดไปไม่ได้ นอกจากทะเลเจดีย์นับพันที่สร้างมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งเรียงรายอยู่บริเวณพื้นที่ของเขตเขตมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ และหากเอ่ยถึง “คัปปาโดเชีย” (Cappadocia) ประเทศตุรกีหรือตุรเคีย แน่นอนว่าก็คงจะต้องมีภาพของบอลลูนหลากสีลอยล่องอยู่เหนือภูมิประเทศแปลกตา ที่เต็มไปด้วยกลุ่มภูเขาหินรูปกรวยโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน... ในครั้งนี้ Palanla จะพาออกเดินทางไปสัมผัสกับความน่าอัศจรรย์ของ 2 ดินแดนมรดกโลก “พุกาม” และ “คัปปาโดเชีย” ด้วยมุมมองจากบนท้องฟ้าผ่านการล่องบอลลูนลมร้อน พร้อมแล้วไปด้วยกัน!

อ่านต่อ

เกรย์ไฟรเออร์บ็อบบี้ (Greyfriars Bobby Statue) & ฮาจิโกะ (Hachiko)

สุนัข ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่แสนดีและซื่อสัตย์ของมนุษย์มายาวนานอยู่ทุกหนแห่งของโลกใบนี้ หลายๆ เรื่องราวถูกถ่ายทอดความประทับใจออกมาผ่านภาพยนตร์ หนังสือ ตลอดจนสร้างเป็นรูปปั้นอนุสรณ์สถานเพื่อเชิดชูและระลึกถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่เจ้าตูบและมนุษย์มีต่อกัน เช่นเดียวกับรูปปั้นของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ 2 แห่งที่ Palanla จะพาไปชมในวันนี้ ที่แรกคือ รูปปั้นสุนัขเกรย์ไฟรเออร์บ็อบบี้ (Greyfriars Bobby Statue) เมืองเอดินเบอระ ประเทศสกอตแลนด์ และอีกที่คือ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachiko) ที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

อ่านต่อ

8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี

อิสตันบูล (Istanbul) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นนคร 2 ทวีป ซึ่งมีช่องแคบบอสฟอรัสเป็นเส้นแบ่งระหว่างยุโรปและเอเชียแห่งนี้ คือเมืองที่รุ่มรวยไปด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมานับพันๆ ปี จึงไม่น่าแปลกใจหากอิสตันบลูจะเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่และงดงามทรงคุณค่ามากมายที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นยุโรปและเอเชียจากอดีตจนถึงปัจจุบัน Palanla จะพาไปชม 8 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองอิสตันบูลที่หากมีโอกาสไปเยือนประเทศตุรกีไม่ควรพลาด

อ่านต่อ

ล่องเรือชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี

ช่องแคบบอสฟอรัส เป็นช่องแคบเล็กๆ ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของตุรกี เคยเป็นทั้งเส้นทางการค้าที่สำคัญ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาจนถึงปัจจุบัน การล่องเรือชมวิวช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Cruise) จึงเป็นวิธีที่ดีที่จะได้สัมผัสบรรยากาศ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมที่หลากหลายของอิสตันบูล

อ่านต่อ

อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี

อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน (Yerebatan Sarnici) คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ของตุรกี ดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติความเป็นมามากกว่าพันปี อุโมงค์เก่าแก่ขนาดใหญ่แห่งนี้คือสถานที่เก็บน้ำในสมัยโบราณที่ยังคงความยิ่งใหญ่และงดงาม กับเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างเสากรีกที่ค้ำเรียงรายมากถึง 336 ต้น และเสาเมดูซ่าพร้อมตำนานที่เล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน รวมถึงซากโบราณของพระราชวังใต้ดินแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิลสมัยไบเซนไทน์อีกด้วย

อ่านต่อ

ตลาดเครื่องเทศ เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี

ตลาดเครื่องเทศ (Historical Spice Bazaar / Egyptıan Spıce Bazaar) ในอิสตันบูล เป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก ตลาดแห่งนี้มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน เดิมทีเป็นจุดแลกเปลี่ยนเครื่องเทศ ผ้าไหม และสินค้าอื่นๆ จากเอเชียมาสู่ยุโรป

อ่านต่อ

10 สถานที่เที่ยวยอดนิยมในเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี

บูดาเปสต์ (Budapest) เป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการี ตัวเมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งด้วยแม่น้ำดานูบที่ไหลผ่านกลางเมือง ทำให้ในเมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศโรแมนติกจากสถาปัตยกรรมอันสวยงามเปี่ยมเสน่ห์ที่รอคอยให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือน Palanla ได้รวบรวมเอา 10 สถานที่เที่ยวยอดนิยมในเมืองบูดาเปสต์มาให้แล้วในบทความนี้

อ่านต่อ

12 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก

ปราก (Prague) เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก ประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลนี้ ตั้งอยู่ใจกลางของทวีปยุโรป ในอดีต เมืองปรากเคยเป็นศูนย์กลางการปกครองอันยิ่งใหญ่ของทวีปยุโรป ซึ่งอารยธรรมแห่งความยิ่งใหญ่ และเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ก็ยังคงสะท้อนอยู่ในวิถีชีวิตของชาวเมือง วัฒนธรรมประเพณี สถาปัตยกรรม ฯลฯ ราวกับมรดกที่สืบทอด และรักษากันมาอย่างดี จนถูกยกให้เป็นเมืองที่มีความน่าหลงใหล ควรค่าแก่การไปสัมผัสความเป็นยุโรปมากที่สุด โดยเมืองปรากยังได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ด้วย ปัจจุบันเมืองนี้นับเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญ ของบรรดานักท่องเที่ยวที่มาเยือนทวีปยุโรป ไปชม 12 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองปรากพร้อมๆ กันกับ Palanla!

อ่านต่อ

ถนนแฟชั่นบูดาเปสต์ เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี

ถนนแฟชั่นบูดาเปสต์ (Fashion Street Budapest) เป็นถนนช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงในใจกลางเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ถนนสายนี้เป็นที่รู้จักในด้านร้านค้าแฟชั่นชั้นนำจากแบรนด์ระดับโลก อาทิ Gucci, Louis Vuitton, Dior, Armani, Prada และ Chanel ถนนสายนี้ยังเต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่มากมาย จึงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวและชาวเมืองบุดาเปสต์เองด้วย

อ่านต่อ

ล่องเรือดินเนอร์ในบูดาเปสต์ เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี

ล่องเรือดินเนอร์ในบูดาเปสต์ (Dinner Cruise Budapest) เป็นวิธียอดเยี่ยมในการชมความสวยงามของเมืองบูดาเปสต์ โดยขณะที่เรือล่องไปตามแม่น้ำดานูบ (Danube River) นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่สวยงามของสะพาน พระราชวัง และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ รวมทั้งอิ่มอร่อยกับอาหารรสเลิศและเครื่องดื่มแสนอร่อย

อ่านต่อ
สถานที่อื่นๆที่น่าสนใจ